วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เหตุการณ์ไม่สมมติ

เด็กหญิง ก พูดว่า:

สนุกกับงานก็ดีใจ

เด็กชาย ข พูดว่า:

ใจดีกับงานก็สนุก

ฉันรู้... หรือ ฉันไม่รู้.....

ฉันรู้...

บางเวลา...เธอไม่อยากจะรับฟังอะไรเลย

บางเวลา...เธอก็อยากจะเดินหนีไปให้พ้นจากที่ตรงนั้น

และบางเวลา...ความร้อนในใจมันก่อตัวขึ้น ทั้งๆที่ยังไม่เกิดอะไรขึ้น

และบางเวลา..อยากจะพูดอะไรเพื่อให้เธอเจ็บ

และบางเวลาเธออยากจะมีใครสักคนที่คอยรับฟังเธอบ้าง

หลายครั้ง... ที่เธอเฝ้าถามตัวเองว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้

หลายครั้ง...ที่เธอเฝ้าถาม ว่านานเท่าไรแล้ว ที่เธอไม่ได้เป็นแบบนี้

หลายครั้ง...ที่คำพูดจากหลายคนวนเวียนเข้ามาในหัว

หลายครั้ง...ที่เธอกลับมาสู่ตัวเธอเอง

หลายครั้ง...ที่ลมหายใจช่วยปลอบประโลม

และช่างเนิ่นนาน ที่ความรู้สึกแบบนี้ยังคงอยู่

แต่เมื่อมองดีๆ มันไม่ได้อยู่ตลอดเวลา

และมันไม่ได้คงเดิม

และวันนี้ วันที่อยู่ดีๆ ความรู้สึกเหล่านั้นก็หายไป

ฉันรู้....

แต่วันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร

ฉันไม่รู้....

ครูที่นี่เป็นแบบนี้


หลังจากที่เพื่อนปีสองพรีเซ้นท์งานเสร็จ


หลังจากนั้นไม่นาน หันไปอีกที


เหล่าครูๆ เทกไทล์ก็เป็นแบบนี้






ของของเค้าดีจริง

สาวโสด


ความเชื่อโบราณของญี่ปุ่น สวีเดน อาจรวมถึงไทย


ถ้าหญิงใดทอผ้าแล้วทำกระสวยใส่ได้ตก เท่ากับเลื่อนระยะการแต่งงานออกไป ๑ ปี


เด็กเทกไทล์คงจะโสดสนิทกันแน่ๆ เพราะทำตกกันวันละไม่รู้กี่รอบ


แม้แต่ครูก็ไม่เว้น แต่พอครูทำตกเท่านั้นแหละ....


"ฉันแต่งงานแล้วย่ะ" หึหึหึ

วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Be kind


เธอได้รับมอบหมายโทรเจคใหม่


ให้เป็นผู้ดูแลการทอหนึ่งเทคนิค แล้วเธอจะต้องเรียนรู้และศึกษาเทคนิคนั้นๆจนเชี่ยวชาญ และเผยแพร่ไปยังเพื่อนๆ เผื่อเพื่อนจะได้เข้าใจและสร้างผลงานต่อจากกระบวนการที่เธอเตรียมไว้เสร็จสิ้นและพร้อมที่จะนั่งลงทอ


ครูบอกกับเธอว่า ลินินที่เธอใช้ช่างเส้นเล็กและอ่อนโยนเหลือเกิน แต่พร้อมก็โกรธและวิ่งเป็นพัลวันได้ง่ายๆทีเดียว


ฉะนั้นเธอจะต้อง “ใจดีและใจเย็น” กับมันมากๆ


เธอรู้สึกดีกับคำแนะนำของครูเป็นอย่างมาก


นอกจากที่จะเรียนรู้ที่จะใจดีกับคนรอบข้างแล้ว


เธอจะต้องใจดีแม้แต่วัตถุรอบๆตัวเธอด้วย


ครั้นวันที่เธอต้องใช้เวลาร่วมกับลินินก็มาถึง


415 ครั้งที่เธอต้องเลือกพาลินินจากห้าให้เหลือหนึ่งเพื่อลอดเข้าตะกรอแต่ละตะกรอ


จากหนึ่งเธอต้องรวมเป็นสาม และค่อยๆไล่เรียงเข้าสู่ช่องฟันหวีทีละช่อง ทีละช่อง


แล้วทุกอย่างก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์กับความใจดีของเธอ


แต่นั่นไม่ได้เพียงพอที่จะทำให้ลินินร่าเริง


ลินินเริ่มปั่นปวนและโกรธในที่สุด


ลินินไม่พร้อมที่จะเป็นผ้าผืนงาม


แต่ครูบอกว่าไม่เป็นไร ตอนทอค่อยๆ จับค่อยดูแลมันไปตลอดทางก็แล้วกัน


เธอดีใจมาก ที่เธอไม่ต้องทำ 415ครั้ง อีกครั้ง


แต่ความดีใจก็ไม่ได้อยู่กับเธอนานเลย


สุดท้ายเธอเลือกที่จะทำใหม่อีกครั้ง เป็นการเต็มใจที่จะทำ เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่สบายใจของเธอ


เธอตระหนักได้ว่าเธอไม่ใช่เจ้าของผ้าผืนนี้


แต่มันเป็นของทุกๆคน


แล้วมันก็จะเป็นเรื่องง่าย ถ้าทุกคนมีความสุขในตอนทอ แลกกับความลำบากของเธอในช่วงต้น


830 ครั้ง ที่เธอได้เรียนรู้


ความใจดีอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ


ถ้าเธอยังขาด “ความเข้าใจ” ในสิ่งที่มันเป็น


ตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว.... และลินินก็ตอบแทนด้วยรอยยิ้มต่อเธอเช่นกัน....

Gardener



นกไนติงเกล


เมื่อฤดูร้อนมาถึง นกไนติงเกลตัวหนึ่งก็มาหลบอยู่ในสวน มันร้องเพลงเจื้อยแจ้วทุกค่ำคืนจากต้นสนดำเก่าแก่ข้างสระน้ำ ประสานเสียงกับจิ้งหรีด อย่างไพเราะเพราะพริ้ง

ตั้งแต่คนสวนได้ยินของมันครั้งแรก เขาก็ออกมาฟังเสียงอันสดใสของมันมาจากโขดหินริมสระน้ำทุกค่ำคืน และที่นั่น เขาเห็นเด็กหญิงผมบลอนด์ไว้เปียคนหนึ่งมากกว่าหนึ่งครั้ง ซึ่งแอบหนีออกมาตอนพ่อแม่เผลอ

ขณะพูดคุยหย่อนใจยามค่ำที่บ้าน แล้วเดินแฝงเงามือของถนนมายังสวน

ในคืนหนึ่ง ขณะเด็กหญิงกำลังฟังเสียงเพลงของนกอย่างเพลิดเพลิน คนสวนก็ปรากฏตัวและนั่งลงข้างเธออย่างเงียบๆ

“หนูไม่เคยได้ยินอะไรไพเราะอย่างนี้มาก่อนเลย!”เด็กหญิงพูด ยังคงเหม่อมองไปทางที่เสียงนกลอยมา
คนสวยยิ้มให้กับความไร้เดียงสาของเด็กหญิง

“คงเพราะเหตุนี้ก็ได้นะ นกไนติงเกลถึงร้องตอนกลางคืน” เขาพูดด้วยเสียงกระซิบ เพื่อที่เราจะได้ชื่นชมเสียงอันสดใสของมัน โดยไม่มีเสียงของนกอื่นๆ มาดึงดูดเราไป”

เด็กหญิงหันมาทางคนสวน เธอถามเขาพร้อมกับทำตาโต

“คนสวนคะ ลุงเคยเห็นนกไนติงเกลไหม”

“เคยสิ!” เขาตอบ “บ่ายวานนี้เอง ฉันเห็นมันบินไปมาตามกิ่งก้านด้านล่างของต้นสนดำเก่าแก่นั่นนะ”

“มันคงสวยมากแน่ๆ ถ้าร้องได้เพราะมากอย่างนั้น....”

“โอ๊ะ อย่าไปคิดเช่นนั้น!” คนสวนตอบพร้อมกับยิ้ม “มันไม่ต่างจากนกตัวอื่นที่หนูรู้จักมากนักหรอก ก็เหมือนนกกระจอกแหละนะ แต่ตัวใหญ่กว่านิดหน่อย”

“แต่มันจะร้องเพราะได้อย่างไรคะ ถ้าไม่มีสีสันสดใสและหงอนบนหัวน่ะค่ะ” เธอถามอย่างอยากรู้ความจริง

“เพราะว่าชีวิตต้องให้สาระที่ดีที่สุดซ่อนไว้ในรูปแบบที่ธรรมดาที่สุด”

เด็กหญิงมองเขาด้วยสายตาสงสัย ขณะรอคำตอบที่เด็กเยาว์วัยอย่างเธอจะสามารถเข้าใจได้

“โอ๊ะ ขอโทษนะ!” คนสวนพูดอย่างนึกขึ้นได้ “ดูดอกกุหลาบ ดอกลาเวนเดอร์ ดอกมะลิสิ... หนูจะพบความงามและกลิ่นหอมมากกว่านี้จากที่ไหนได้อีก ถ้าชีวิตต้องการให้ดอกไม้เหล่านี้โดดเด่นมากกว่านี้ ก็คงจะให้มันผลิบานบนต้นไม้ที่มีต้นสูงใหญ่ ที่จะมองเห็นได้แต่ไกล ทว่ามันผลิบานบนไม้พุ่มต่ำต้อยที่มีต้นเล็กๆ และอยู่สูงเพียงระดับสายตาและมือของเราเท่านั้น

“ดูผึ้งสิ ตัวเล็กและต่ำต้อยเมื่อเทียบกับนกอินทรีที่สง่างาม แต่กระนั้นก็ไม่มีอะไรมาทัดเทียมกับความหอมหวานของน้ำผึ้งได้ ชีวิตได้ซ่อนความงามแห่งวิญญาณของมันไว้ในสิ่งเล็กๆ สิ่งต่ำต้อยและสิ่งธรรมดา”

เด็กหญิงผงกศีรษะให้คนสวนรู้ว่าเธอเริ่มเข้าใจ

“หนูตัวเล็ก” เธอพูด “ลุงหมายความว่าหนูก็เหมือนกับนกไนติงเกลใช่ไหมคะ”

“ใช่” คนวสนตอบ “เหมือนกับนกไนติงเกล เหมือนกับดอกกุหลาบ เหมือนกับดอกมะลิและผึ้ง...”

“แล้วเมื่อหนูแก่ตัวจะเป็นอย่างไรคะ”

“เมื่อหนูแก่ตัวขึ้น หนูก็ยังมีความงามแห่งจิตวิญญาณของชีวิตอยู่มนตัวหนู เพราะมันยังได้ซ่อนแก่นของจักรวาลไว้ในร่างอันต่ำต้อยและธรรมดาของมนุษย์อีกด้วย

“ความดีงามซ่อนอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน และไม่ทุกคนที่ขับขานบทเพลงของความรื่นรมย์ของตกออกมา มีเพียงบางคนเท่านั้น ที่เสาะหาค่ำคืนและความสงบของจิตใจเพื่อเปิดใจรับดนตรีแห่งสรวงสวรรค์ เช่นเดียวกับนกไนติงเกลในหมูนกทั้งหลาย”

“จริงๆแล้ว หนูไม่เข้าใจสิ่งที่ลุงพูดเลย” เด็กหญิงสารภาพ แล้วหลุบตาลง “แต่หนูว่าสิ่งที่หนูทำ คือทำตัวเล็กๆต่อไปใช่ไหมคะ”

คนสวนรู้สึกประทับใจกับความไร้เดียงสาของเด็กน้อยผู้เฉลียวฉลาด

“ใช่จ้ะ หนูต้องทำตัวเล็กๆ อยู่เสมอ...” เขาพูดด้วยเสียงกระซิบ “....และทำตัวธรรมดาๆ เหมือนกับนกไนติงเกล”





การล่า

ปลายฤดูร้อน แผ่นดินอบอ้าวไปทั่วแถบถิ่นนั้น ขณะที่ไอน้ำก่อตัวเป็นเมฆดำทะมึน ตั้งเค้าพายุฝนมาจากทางทิศตะวันออก


ในกระท่อม คนสวนกำลังวุ่นวายอยู่กับการไล่จับแมลง ที่มักจะรบกวนและเหนียวเหนอะหนะก่อนมีพายุฝน


ในขณะที่เก้ๆกังๆ นั้นเอง เพื่อนคนหนึ่งได้แวะมาและรู้สึกแปลกใจกับการไล่อย่างเอาเป็นเอาตายของเขา คิดว่าคนสวนกำลังทำเกินเลยขีดจำกัดที่ยอมรับได้สำหรับ “คนเพี้ยน” จึงถามเขาว่ากำลังทำอะไรอยู่


“จะให้มันไปอยู่นอกกระท่อมน่ะ” เขาตอบโดยไม่ลดละการไล่ล่าเหยื่อที่บินหนีรวดเร็ว


ผู้เป็นเพื่อนแสดงท่าทางไม่เข้าใจ


“แต่ทำไมไม่ฆ่ามันเสียล่ะ” เขาถามคนสวน “คุณจะแก้ปัญหาได้เร็วกว่านะ!”


คนสวนหยุดครู่หนึ่ง แย้มยิ้ม แล้วตอบว่า


“ก็เพราะ... มันยังไม่ถึงที่ตายน่ะสิ”


ผู้เป็นเพื่อนยิ่งคิดหนักว่าคนสวนเป็นบ้าไปแล้ว


“แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่ามันถึงที่ตายแล้วหรือยัง” เขาถามอย่างหมดอดทน


และคนสวนตอบเขาอย่างสงบ ราวกับว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่สุดในโลก


“ง่ายมาก ถ้าผมหลีกเลี่ยงการทำให้มันตายได้ มันก็ยังไม่ถึงที่ตาย”


และเขาไล่แมลงต่อไป


ความรักของแม่

คนสวนกำลังเดินจ้ำอ้าวไปยังกระท่อม เขาอุ่นอาหารทิ้งไว้บนเตาในบ้านนานกว่าชั่วโมงแล้ว และกลัวว่า

ความหลงลืมของเขาอาจจะนำมาซึ่งความเดือดร้อน

ขณะเดินผ่านก้อนหินเล็กๆ ที่กองอยู่ข้างกระท่อม เขาก็สะดุดล้มคว่ำเหยียดยาวไปกับพื้น

เขายันร่างกายที่ขัดยอกขึ้นด้วยข้อศอก ใบหน้าเปื้อนฝุ่น แล้วพูดขึ้นว่า

“แม่พระธรณีจ๋า แม่ช่างรักลูกเหลือเกิน พอเห็นเท้าลูกลอยอยู่ในอากาศ แม่ก็วิ่งเขามากอดลูกไว้”

The Gardener : Grain

Gardener

คู่รัก


ชายหนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งแต่งงานมาได้สองสามปีแล้ว กำลังคร่ำครวญกับคนสวนถึงความยากลำบากในชีวิตสมรสของเขา

ในตอนเริ่มต้น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ปีแรกของการแต่งงาน ทั้งคู่ต่างให้ความรักและความหวานชื่นที่เคยแบ่งปันกันและกันระหว่างการเกี้ยวพา แต่ด้วยเหตุผลใดไม่ปรากฏ ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองในภายหลังได้แปรเปลี่ยนจากที่เคยห่วงอาทรไปเป็นความหมางเมินเหินห่าง

“มีบางครั้ง ผมคิดว่าผมเกลียดเธอ” ชายหนุ่มพูดกับคนสวน “และผมคิดว่าเธอก็เกลียดผมเช่นกัน”

“ความรักจะเปลี่ยนไปเป็นความเกลียดได้อย่างไร” คนสวนถาม

ชายหนุ่มยังคงเงียบ

“คุณเคยคิดไหมว่าความรักที่คุณรู้สึกนั้นไม่ใช่รักแท้และบริสุทธิ์ แต่เป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากความชอบพอและตอบสนองกันและกันเท่านั้น” เขาถามขึ้นอีก

ชายหนุ่มก้มหน้ามองพื้น

“ตอนนี้ผมไม่ทราบจริงๆ ครับ”

ชายทั้งสองเดินไปตามทางเดินที่เรียงรายด้วยต้นมะนาว ย่ำเท้าบนพรมใบไม้สีแดง ซึ่งส่งเสียงกรอบแกรบคลอการสนทนาอันแผ่วเบา คนสวนเพียรถามอีกว่า

“คุณแสวงหาอะไรล่ะ ถึงได้แต่งงานกับเธอ”

“ผมแสวงหาความสุข” ชายหนุ่มพูดอย่างหนักแน่น “และผมคิดว่าผมจะได้พบเมื่อใช้ชีวิตคู่กับเธอ”

“นั่นเป็นความผิดของคุณทีเดียว” คนสวนเอ่ยขึ้นช้าๆ “ในระหว่างที่คุณมั่นหมายกันต่างเห็นดีเห็นงามตามกัน” และมองแต่ด้านดีของกันและกัน ต่างคนต่างคิดว่าอีกฝ่ายมีข้อดีมากมายซึ่งจะทำให้อีกฝ่ายมีความสุขไปจนชั่วชีวิต คุณไม่อยากเผชิญกับความจริงว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าคุณนั้น ไม่ได้มีแต่ข้อดี ยังมีข้อเสียด้วย แต่คุณไม่อยากเห็นด้านมืดนั้น

“และเมื่อได้อยู่ร่วมกัน เวลาผ่านไป ด้านมืดก็ปรากฏ และตอนนี้คุณมาอยู่อีกด้านหนึ่งที่เห็นแต่ข้อบกพร่องของกันและกัน ไม่เห็นข้อดีอีกต่อไป

“ใช่ บางครั้งเราก็เป็นเช่นนั้น” ชายหนุ่มตอบอย่างหมดอาลัยตายอยาก

“ความผิดพลาดของแต่ละคนเกิดขึ้นเพราะต่างก็แสวงหาความสุขจากภายนอก ไม่ใช่ความสุขในหัวใจตัวเอง” คนสวนพูดต่อไป “ถ้าคุณแสวงหาความสุขด้วยความรักที่เต็มเปี่ยมหัวใจแล้ว ความรักของคุณก็จะไม่ขึ้นอยู่กับข้อดีหรือข้อเสีย แต่จะงอกงามด้วยความเข้าใจและยอมรับข้อบกพร่องที่คู่ของคุณมี เช่นเดียวกับมนุษย์ปุถุชนทั้งหลาย”

“และดังนั้น คุณอาจจะเปลี่ยนแปลงกันและกันได้ ไม่ใช่จากการเรียกร้องหรือตำหนิติเตียน แต่จากความรักที่หนักแน่นมั่นคงในหัวใจของคุณ”

ชายหนุ่มเริ่มเห็นว่าบางทียังมีความหวังเหลืออยู่ในสถานการณ์ของเขา

“แล้ว” เขาพูด “ตอนนี้ผมต้องทำอย่างไร”

“จงแสวงหาความสุขในตัวคุณเอง และอย่าหวังว่าเธอจะเป็นผู้ให้ เพราะคุณไม่อาจร้องขอจากผู้ใดในสิ่งที่คุณต้องเสาะหามาเอง จงแสวงหาความรักที่คุณเคยรู้สึกในหัวใจ และหาความสุขจากความรักในหัวใจของคุณเท่านั้น ไม่ใช่จากความรักของเธอที่มีต่อคุณ และซัมซับกับทุกๆอณูของชีวิต ไม่ว่าจะสุขสงบหรือทุกข์เศร้า เพราะในการยอมรับชีวิตทั้งหมด ทั้งในวันที่งดงามและในคืนที่มืดมน เราจะได้พบกับความสุขอันยั่งยืน ซึ่งจะอยู่ในที่ปลอดภัยจากพายุและลมฟ้าอากาศอันแปรปรวน”

“สิ่งที่คุณพูดมาน่ะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับยิ้มเศร้า

คนสวนหยุดและมองเค้าอย่างอ่อนโยน

“ใช่ ไม่ง่าย” เขาตอบเรียบๆ “และคุณต้องกล้าหาญเช่นนักรบเพื่อฟันฝ่าหาชัยชนะในสมรภูมิแห่งชีวิต”





ความสุข


“หนูต้องทำอย่างไรคะ ถึงจะได้พบกับความสุข” เด็กหญิงผู้สะสวยตั้งคำถาม

คนสวนหัวเราะอย่างเอ็นดู

“อย่าแสวงหามัน”

เด็กหญิงงงงวย

“ทำไมลุงถึงพูดอย่างนั้น” เธอถาม รู้สึกรำคาญเสียงหัวเราะของเขาอยู่บ้าง “ใครๆก็แสวงหาความสุข...”

“และน้อยคนที่ได้พบ....” คนสวนพูดขัดจังหวะและยังคงหัวเราะอยู่

เด็กหญิงทำฮึดฮัด แต่ไม่มีผลใดๆ นอกจากเพิ่มความขบขันแก่คนสวน

“ฟังนะ...” คนสวนพูดต่อเพื่อให้เธอใจเย็น “มนุษย์แสวงหาความสุขกันทุกคน บางคนหาจากคนที่เขารัก บางคนจากการสะสมเงินทองและของมีค่า บางคนจากความฝัน... มนุษย์ตามหาความฝันตลอดชีวิต และเมื่อสมปรารถนา เขาก็ได้พบความสุข ซึ่งเขาเชื่อว่าจะคงอยู่ตลอดไป ทว่าอีกไม่นานต่อมา ความซ้ำซากและความผิดหวังก็หวนกลับมา และทุกคนก็ออกค้นหาความฝันใหม่ จนกระทั่งได้พบ ครั้นแล้ว ฝันก็สลายไปอีก และเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ”

“ลุงหมายความว่าการจะพบความสุขอันยั่งยืนนั้นเป็นไปไมได้หรือคะ” เด็กหญิงถามเขาอีก

“เปล่า ลุงไม่ได้หมายความเช่นนั้น!”

“แล้วเราจะพบความสุขที่ยั่งยืนได้อย่างไรล่ะ” เด็กหญิงยืนกราน ร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด

คนสวนทำมือทำไม้ให้เธอสงบลง

“ไม่พบหรอก” เขาตอบ “หนูจะไม่ได้พบกับสิ่งที่อยู่ในตัวหนูตลอดมาหรอกจ้ะ”

“ลุงคนสวน ลุงกำลังทำให้หนูสับสนนะ ถ้าหนูมีอยู่แล้ว ทำไมหนูถึงไม่รู้สึกล่ะ”

“หนูคงเคยสังเกตดอกไม้ที่หนูเสียบผมไว้บ้างแหละนะ” คนสวนถาม

“ค่ะ ตอนที่หนูคิดเรื่องดอกไม้น่ะค่ะ” เด็กหญิงตอบ พลางยกมือขึ้นจับดอกไม้

“หนูไม่เคยตระหนักเลยหรือว่าหนูมีความสุขแค่ไหนเมื่อนึกถึงอดีตน่ะ”

“เคย...ค่ะ...” เธอพูดตะกุกตะกัก “แต่...”

“เอาละ ลองนึกถึงความสุขที่หนูรู้สึกตอนนี้สิ” คนสวนขัดจังหวะ “ทุกคนเป็นเหมือนคนที่ใช้เวลาหาแว่นตาทั้งวัน แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตนสวมอยู่ตลอดเวลา”

“เรามีความสุขอยู่เสมอ แต่เราตระหนักได้ก็ต่อเมื่อเวลาล่วงเลยไป และความห่างไกลทำให้เราเห็นสิ่งที่ได้ประสบทั้งหมด”

“ความสุขอยู่ในตัวหนูเสมอนะ มันไม่เคยหายไปไหนหรอก แม้แต่ตอนที่ชีวิตเจ็บปวดและระทมทุกข์ หนูเพียงแต่มองไม่เห็นมันเอง เพราะหนูมัวแต่หาความสุข เพื่อหนีไปจากความทุกข์ หนูถึงไม่ได้เห็นมัน”

“จงใส่ใจกับชีวิต กับสิ่งที่อยู่รอบๆตัวหนู กับสิ่งที่หนูกำลังรู้สึก... แล้วหนูจะได้พบว่าหนูมีความสุขอยู่แล้ว ในชั่วขณะนั้น ความสุขเป็นส่วนหนึ่งของหนู เพราะความสุขเป็นเหมือนทุ่งหญ้าเขียวขจี ที่ชีวิตเริงระบำแห่งชีวิตและความตาย แห่งความรักและความโดดเดี่ยว”

และเขาลูบแก้มเด็กหญิง พลางพูดอย่างอ่อนโยน

“อย่าค้นหาความสุข ถ้าหนูต้องการค้นหาอะไรสักอย่างแล้วละก็ จงค้นหาชีวิตนั่นแหละ”





นางฟ้าแสนเศร้า


คืนหนึ่งในกลางฤดูร้อน อากาศอบอ้าว แม้แต่สายลมก็ไม่สมารถคลายร้อนจากแผ่นดินด้วยหยาดน้ำค้าง คนสวนออกจากระท่อมไปอาบน้ำ ตอนนี้เป็นเวลาใกล้รุ่งแล้ว และหลัจากพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียงเพื่อนอนต่อ แต่ไม่สำเร็จ คนสวนจึงตัดสินใจลุกขึ้นไปอาบน้ำในสระ

ระหว่างทาง เข้าผ่านพริมโรสพุ่มใหญ่และเห็นนางฟ้าบนดอกไม้โดยไม่คาดฝัน

คนสวนหยุดมองนางฟ้า แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่เห็นการมาของเขา เธอนั่งเท้าคาง วางศอกอยู่บนเข่า ท่าทางซึมเศร้าเหมือนเด็กเล็กๆ

“สวัสดี เจ้าตัวเล็ก” คนสนทักขึ้น นางฟ้าสะดุ้งตกจากดอกไม้ หายไปในพุ่มไม้หนา

“ฉันเสียใจนะ ที่ทำให้เธอพลักตกน่ะ” คนสวนเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นนางฟ้าปรากฏตัวท่ามกลางใบไม้อีกครั้ง

“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ คนสวน” นางฟ้าบอก “มันเป็นความผิดของฉันเองที่ไม่เห็นการมาของท่าน”

และเธอนั่งลงบนดอกไม้ดอกเดิมอีกครั้ง ในท่าเดิมที่คนสวนได้เห็น

“เป็นอะไรไปหรือ” เขาถาม “เธอดูซึมเศร้าเหงาหงอยนะ”

นางฟ้ามองคนสวนราวกับเขาออกมาจากความฝัน และสักพักก็ตอบว่า

“ก็...เอ่อ...มัน...ฉันไม่อยากเป็นนางฟ้า”

“ทำไมล่ะ” คนสวนถามอย่างแปลกใจ

“ก็เพราะฉันอยากจะฉลาดเหมือนผีแคระ หรือเก่งเหมือนท่านที่เป็นมนุษย์น่ะสิ”

คนสวนใคร่ครวญคำตอบของนางฟ้าครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น

“ความเก่งก็ดีสำหรับบางสิ่งบางอย่าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด”

“ทำไมจะไม่ใช่ ความเก่งน่ะสำคัญมากสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต...”“ไม่ ไม่ ไม่!” คนสวนขัดขึ้น “สิ่งสำคัญที่สุดน่ะ ไม่ใช่ความเก่ง แต่เป็นความฉลาด”

“ฉันไม่เข้าใจ” นางฟ้าพูดพลางส่ายหน้าไปมา

คนสวนนั่งลงบนพื้นตรงหน้านางฟ้า

“ต้นโอ๊กไม่เก่ง แต่ก็ฉลาดนะ เพราะมันสามารถสร้างเมล็ดพันธุ์ที่เต็มไปด้วยชีวิต แม้แต่มนุษย์ที่เก่งที่สุดก็ทำไม่ได้”

“นกอินทรีไม่ได้เก่ง แต่ก็มีปัญญา ขณะเลี้ยงดูลูก มันรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร ลูกนกถึงเติบโตขึ้นมาแข็งแรงและเป็นนกทีสง่างาม ทว่า มีคนมากมายที่เก่งแต่ไม่ฉลาด เขาพัวพันกับความแค้นและสงคราม และใช้ความเก่งของตนหาทางทำลายและทำร้ายคนอื่น"

“อย่าเอาความเก่งไปปะปนกับความฉลาด และอย่าขอให้สิ่งอื่นใดปฏิบัติภารกิจที่ชีวิตมอบหมายแก่เธอโดยไม่จำเป็น ชีวิตมอบสิ่งที่จำเป็นสำหรับเราแล้ว เพื่อจะได้ทำสิ่งที่ต้องทำ และชีวิตให้ภูมิปัญญาตามธรรมชาติของตัวเองแก่เราแล้ว เพื่อว่าเราจะได้ทำในสิ่งที่จำเป็น ในเวลาที่เหมาะสม โดยมิต้องออกแรงพยายาม”

“ฉันคิดว่าฉันเข้าใจที่ท่านพูด”

คนสวนเบาเสียงลง และด้วยความอ่อนโยนอย่างที่สุด เขาพูดกับนางฟ้าว่า

“อย่าปรารถนาเป็นอะไรอื่นนอกจากที่เธอเป็นอยู่ เป็นนางฟ้าที่งดงามและละเอียดอ่อน เพราะด้วยความงามของเธอ เธอยังให้แมกไม้เต็มไปด้วยมนต์สเน่ห์และความร่มเย็น และด้วยภูมิปัญญาของเธอ เธอหว่านโปรยสีสันของดอกไม้และกลิ่นหอมของพืชพรรณไปทั่วดินแดน

“มนุษย์จะเป็นอย่างไรหากปราศจากความงดงามจากงานของเธอ เราต้องการความเก่งไปเพื่ออะไรเล่า ถ้าเราไม่สามารถยังกลิ่นหอมแก่ดอกไม้ หรือความมหัศจรรย์แก่พงไพร”

และนางฟ้ากระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริง โผบินไปหาคนสวน แล้วจุมพิตที่ปลายจมูกของเขา ก่อนลับหายไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางกิ่งก้านของต้นซีดาร์ในบริเวณนั้น

วันถัดมา อีกครั้งหนึ่ง ชาวบ้านใกล้เคียงพากันแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนจมูกของคนสวน ซึ่งส่องประกายสีทองแวววาว





มงคล

เมฆดำทะมึนกำลังเคลื่อนออกไปจากแผ่นดิน และดวงอาทิตย์กลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง ผ่านรอยแยกของเมฆมืดดำ

ครั้นแล้ว แสงตะวันก็ทาบทาทางเดินลาดชันที่คนสวนกำลังย่ำเท้าไป พลางสูดไอดินอันหอมกรุ่น และเห็นหอยทากเล็กๆตัวหนึ่งคืบคลานไปตามกอไม้ใบหญ้า

คนสวนหยุดเดิน และเฝ้าดูหอยทากอยู่เนิ่นนาน แล้วรำพึงขึ้นว่า

“ความช้าเป็นมงคล เพราะเขาจะไม่พลาดรายละเอียดชีวิต แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุด”

จากหนังสือ The Gardener : Grain

วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Gardener

คำสวดของพระเจ้า


ไม่น่าแปลกใจอย่างใดเลย เมื่อเพื่อนบ้านคิดกันว่าคนสวนค่อนข้างแปลก
บ่อยครั้ง เพื่อนบ้านเห็นคนสวนพูดกับต้นไม้ ลูบไล้ต้นไม้ และปฏิบัติกับต้นไม้ด้วยความรักอย่างยิ่ง และเขาก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากมันในรูปของเงินทองหรือความสำเร็จ และคนกลุ่มนี้ก็คิดว่านี่เป็นเรื่องแปลกประหลาดอย่างมาก

“ทำไมคุณต้องลูบไล้ต้นไม้และพูดกับต้นไม้ ในเมื่อต้นไม้ไม่สามารถรับรู้การสัมผัสหรือได้ยินคุณพูด” เพื่อนบ้านถามเขาในที่สุด

“แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าต้นไม้ไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกหรือได้ยินผมพูด” คนสวนตอบ

ผู้ถามงงงวย

“เอ้อ...ก็ทุกคนรู้ว่าต้นไม้ไม่สามารถจะ...”

“มนุษย์ส่วนมากทั้งไม่ได้รับรู้หรือได้ยินพระเจ้าตรัส” คนสวนได้ขัดขึ้นมา “แต่พระเจ้าก็ยังคงพูดและดูแลมนุษย์ แม้มนุษย์จะไม่ได้ยินพระองค์”

เพื่อนบ้านยิ่งรู้สึกสับสนมากขึ้น และรู้สึกรำคาญอยู่บ้าง เค้าถามอีกว่า

“แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้ามีอยู่จริง ฉันไม่เคยเห็นหรือได้ยินเสียงพระองค์เลย อีกทั้งฉันรับรู้ไม่ได้เลยว่าพระเจ้าได้ดูแลฉันอย่างที่คุณพูดน่ะ”

คนสวนก้มศีรษะอย่างเศร้าสร้อยและเงียบ เพื่อนบ้านคิดว่าเค้าไม่สามารถจะตอบคำถามได้อีก คนสวนมองเพื่อนบ้านด้วยสายตาอ่อนโยน และพูดว่า

“ถ้าคุณเคยหยุดและฟังในยามค่ำคืนที่ดวงเดือนแจ่มกระจ่าง คุณจะได้ตระหนักว่าจิ้งหรีดร้องเพลงก็ต่อเมื่อมันเงียบเสียง เป็นความเงียบที่เตือนคุณถึงการดำรงอยู่ของชีวิตที่ซ้อนเร้นอยู่ พระเจ้าไม่เคยหยุดร้องเพลง พระองค์ไม่เคยหยุดพูดกับเราหรือหยุดดูแลเรา และด้วยเหตุนี้ล่ะ มนุษย์ส่วนมากจึงมิได้เห็นความรักของพระเจ้า”

“ถ้าพระเจ้าหยุดร้องเพลง และแม้ว่าคุณจะได้ตระหนักในวินาทีถัดไปว่าพระเจ้าอยู่ที่นั่น มันก็สายเกินไป”

และเขาก็ยิ้ม พูดเสริมว่า

“แต่ไม่ต้องกังวล พระเจ้าไม่เคยหยุดร้องเพลง”

“ถ้าอย่างนั้น คุณก็ไม่สามารถทำให้เราเชื่อได้ว่าพระเจ้ามีอยู่จริง” เพื่อนบ้านตอบพร้อมกับยิ้มอย่างผู้ชนะ

คนสวนหัวเราะและวางมือบนไหล่เพื่อนบ้าน พลางบอกว่า

“ก็เหมือนกับจิ้งหรีด...ถ้าคุณสามารถค้นพบความสงบภายใน ความเงียบนั้นจะยังคุณให้ได้ยินคำสวดของพระเจ้า”





ดอกไม้ที่สวยที่สุด



“หนูดูเศร้าและครุ่นคิดนะ” คนสวนพูดกับเด็กหญิงผู้เงียบเหงา

เด็กหญิงเงยหน้ามองดูเขาด้วยสายตาแห้งแล้งปราศจากชีวิตชีวา แล้วก้มหน้าลงอีกโดยไม่พูดอะไร

“วันนี้เกิดอะไรขึ้นถึงทำให้หนูเศร้าหมองเช่นนี้ ทุกวันเมื่อหนูมาที่สวนของฉัน ตอนบ่ายแก่ๆ หนูจะกลายเป็นดอกไม้สวยงามและหอมหวานที่สุด...”

“หนูไม่ใช่ดอกไม้ที่สวยที่สุด” เด็กหญิงพูดขัด

คนสวนเงียบไป

“วันนี้หนูเห็นตัวเองในกระจกบึง” เด็กหญิงพูดต่อโดยไม่เงยหน้า “ในที่สุดหนูก็โตเป็นผู้ใหญ่ แต่หนูไม่สวยอย่างที่นึกไว้”

คนสวยเริ่มเข้าใจ

“ทุกคนพูดว่ากุหลาบเป็นดอกไม้ที่สวยที่สุด และที่จริงมันก็เป็นเช่นนั้น!”

คนสวนยืนยัน ขณะเด็กหญิงหันหน้ามามอง “แต่ฉันก็ชอบดอกเวอร์บีน่าเล็กๆ ที่ขึ้นอยู่ตามใต้ต้นกุหลาบ และฉันก็เพลิดเพลินเมื่อได้ดูดอกแพนซี่โอนเอน และดอกทิวลิปที่ชูก้านยาวและหุบกลีบดอกของมันไว้ และมีความสุขกับการมองทุ่งดอกเดซี่พลิ้วไหวใต้แสงตะวัน”

“คนสวนคะ ลุงหมายความว่า ดอกเวอร์บีน่าสวยมากว่าดอกกุหลาบหรือคะ”

คนสวนมองไปบนท้องฟ้ายามเย็น

“ฉันหมายความว่า ความงามไม่ได้อยู่ในดอกไม้ดอกนั้นหรือดอกนี้มากไปกว่าที่มันปรากฏอยู่ที่นี่หรือที่นั่นหรอกจ้ะ ความงามอยู่ในสายตาที่มองเห็น ถ้าเรามองดูด้วยความตั้งใจพอ เราก็จะมองเห็นเทพธิดาแห่งความงามทุกหาทุกแห่ง เพราะความงามนั้นเปล่งประกายในทุกๆสิ่งที่ดำรงอยู่”

“ถ้าหนูยังปรารถนาที่จะสวยงามขึ้น และต้องการเป็นเทพธิดาแห่งความงามบนโลกแล้ว จงมองไปบนท้องฟ้าและพิจารณาเมฆก้อนใหญ่ที่ล่องลอยในเวิ้งฟ้าสีน้ำเงินอย่างสง่างาม มองดูเมฆกลมๆที่สุกสกาวราวปุยฝ้ายเหล่านั้นสิ ความงามของมันเปล่งประกายอย่างยิ่ง เมื่อลอยผ่านเมฆก้อนอื่นๆที่ถูกลมพัดทะลุเป็นช่องให้แสงตะวันส่องลอดลงมา”

คนสวนหยุดพูด แล้วนิ่งมองเด็กหญิงที่กำลังเฝ้าดูก้อนเมฆ

“ปล่อยให้แสงสว่างจากจิตวิญญาณเปล่งประกายผ่านผิวอันบอบบางของหนูและโลกทั้งโลกจะเห็นความงามอันเจิดจรัสที่สุดของหนูเปล่งประกายออกมาจากภายใน”





การเปลี่ยนแปลง


ชายหนุ่มผู้มีความคิดดีมากคนหนึ่ง ซึ่งมักนะมาขอคำแนะนำจากคนสวนเสมอๆ ได้แวะมาที่กระท่อมของเขาในคืนฝนตกและหนาวเย็นคืนหนึ่ง

ราวกับกำลังรอคอยการมาเยือนของเขา เมื่อชายหนุ่มเปิดประตู คนสวนก็กวักมือเรียกเข้ามาในกระท่อม คนสวนได้ช่วยชายหนุ่มถอดเสื้อคลุมที่เปียกปอนออกและเชื้อเชิญให้เขานั่งหน้าเตาผิง

เมื่อชายหนุ่มรู้สึกว่ามือเริ่มรู้สึกอุ่นขึ้นมาบ้าง เขาเริ่มต้นถามว่า “เพื่อนของผม ผมรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ผมทิ้งวัยเด็กไว้ข้างหลังและเริ่มคิดแบบผู้ใหญ่ ผมสังเกตโลกรอบๆตัวผม และผมได้พบสิ่งดีๆและคุณค่าในตัวมนุษย์และธรรมชาติ แต่เมื่อได้พบเห็นสิ่งที่ทำร้ายจิตใจของผม ผมก็เศร้าใจ ผมได้เห็นว่าในโลกนี้มีความอยุติธรรมและขาดความเอื้ออาทร ผมได้เห็นสายตาสิ้นหวังของคนยากไร้และคนป่วย ผมได้เห็นกรงเล็บของความละโมบเกาะกุมหัวใจของมนุษย์และหมอกควันแห่งความเกลียดชังบดบังเหตุผลและความถูกต้องในหมู่พี่น้อง และทุกครั้งที่ผมพบเห็นสิ่งเหล่านี้ หัวใจอันสับสนของผมก็ร้องไห้ออกมา และจิตวิญญาณของผมก็กู่ก้องไปยังสรวงสวรรค์ เพรียกหาทางแก้ไขความทุกข์เข็ญ และผมคิดว่าผมอยากจะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ เพื่อทุกคนจะได้อยู่ร่วมกันอย่างปรองดองและมีความสุข แต่ว่าคนคนเดียวจะต่อสู้กับความทุกข์เศร้าและความพินาศนี้ได้อย่างไรเล่า”

ชายหนุ่มเงียบลงและซบหน้ากับฝ่ามือ

“คุณสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้” คนสวนพูดขึ้นด้วยน้ำสียงนุ่มนวล

“คนคนเดียวจะเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างไรกัน” ชายหนุ่มถาม

“โดยการเปลี่ยนแปลงตัวเราเอง” เป็นคำตอบของคนสวน

“ผมไม่เข้าใจ ถ้าคนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลง แล้วมนุษยชาติจะเปลี่ยนไปได้อย่างไร”

“มนุษย์แต่ละคนคือเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด มนุษย์ฝันจะมุ่งไปสู่ส่วนลึกอันสุกสว่างของจักรวาล” คนสวนกล่าวและจ้องมองไฟ “เมื่อมนุษย์อยู่กับห้วงแสงนั้น มนุษย์จะได้รับประกายแห่งความดีงามของเขา”

“ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดีครับ” ชายหนุ่มตอบซื่อๆ

“คุณไม่จำเป็นต้องเข้าใจหรอก นกไม่เข้าใจกลไกการบินของมันเอง แต่ก็ยังบินได้ มันเป็นธรรมชาติของนกที่จะบิน เช่นเดียวกัน มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะได้รับความรัก”

ไฟปะทุเปรี๊ยะ ปร๊ะ เมื่อคนสวนพูดจบประโยค และคนทั้งสองเงียบไปชั่วขณะ ต่างจับจ้องเปลวไฟที่วูบไหวอยู่ในเตาผิง

ชายหนุ่มจ้องมองคนสวน แล้วหันไปมองเปลวไปอีกครั้ง ในที่สุดก็ตัดสินใจถามขึ้นว่า

“และผมต้องทำอย่างไรเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง”

“ต้องไม่พยายาม” คนสวนตอบพร้อมกับยิ้ม

ชายหนุ่มแสดงสีหน้าประหลาดใจและนิ่งอึ้ง

“ถ้าคุณไม่พยายาม คุณก็จะไม่รู้สึกกดดัน” คนสวนอธิบายต่อ “เราต้องปรารถนาความเปลี่ยนแปลงภายในตัวเราเท่านั้น และเปิดกว้างความเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดขึ้นในตัวเรา แต่ถ้าคุณพยายามจะทำให้มันเกิดขึ้น ความขัดแย้งจะเริ่มเกิดขึ้นในใจของคุณ ซึ่งจะทิ้งรอยแผลและความเจ็บปวดไว้ให้ คุณเพียงแต่เปิดใจกว้างและปล่อยให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสมของชีวิต”

“ไม่มีใครสาธิตการบินแก่นก ไม่มีใครสอนปลาให้ว่ายน้ำ เมื่อถึงเวลานกก็โผสู่ฟากฟ้าและปลาก็สู่น่านน้ำ และจากนั้นก็เป็นไปตามธรรมชาติของมันเอง”

“ความรักดำรงอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์ ความรักซึ่งกว้างใหญ่ดุจมหาสมุทร ความรักซึ่งครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง มนุษย์เพียงแต่ปล่อยตัวเองไปตามกระแสของชีวิตด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง และจากนั้นก็จะเป็นไปตามธรรมชาติของเขาเอง

“ความรักเท่านั้นที่จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในจิตวิญญาณของคุณ และความรักนั้นจะนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่โลก”

และดื่มดำอยู่ในความคิด คนสวนจบการสนทนาด้วยการพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า

“เมื่อมนุษยชาติค้นพบความรักที่แท้ จักรวาลทั้งจักรวาลจะสั่นสะเทือนด้วยความงามของรักนั้น”



จากหนังสือ The Gardener : Grain

วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2551

นกแห่งสันติภาพ






ฉันขอส่งมอบนกน้อยตัวนี้


ให้โบยบินสู่เมืองสยาม เมืองแห่งรอยยิ้ม


ให้นำพาความสุข สันติมาสถิตอยู่ในใจคนไทยทุกคน



(นกตัวนี้เกิดขึ้นจากโปรเจคหนึ่งที่เย็บอย่างไรก็ได้ให้ผ้า130x130 ให้เหลือ20x20
แต่ตอนนี้มันใหญ่มาก ใหญ่คับพื้นที่ของหัวใจเลยทีเดียว:)

หมู่บ้านแอปเปิ้ล


สองเดือนที่ผ่านมาบนดินแดนกลางน้ำอันหนาวเย็นนี้

อาจเรียกได้ว่าไม่ห่างไกลจากการภาวนาตามวิถีหมู่บ้านพลัมที่เคยได้สัมผัสมา

ขอเรียกเป็นหมู่บ้านแอปเปิ้ลแทนแล้วกันเนอะ



ฉันสัมผัสรอยยิ้มของคนที่นี่ คนในหมู่บ้านที่มีไม่มากนัก

ฉันสัมผัสถึงความรัก ความอบอุ่น

ฉันสัมผัสถึงธรรมชาติอันงดงาม

ฉันได้เดินวิถีแห่งสติในแปลงผักหรือสวนดอกไม้ยามฉันว่าง

หายใจเข้า....

และหายใจออก...

เบิกบานกับงานอย่างมีสติ

มากบ้าง

น้อยบ้าง

หลุดหลงไปกับความคิดเบื้องหลังและเบื้องหน้าบ้าง

เสียงนกร้องทำให้ฉันกลับมาสู่บ้านอันแท้จริง

ชี่กง โยคะ รำกระบอง และขี่จักรยาน

พิจารณาอาหารในแต่ละมื้อ
(เป็นความโชคดีที่อาหารที่นี่มีมังสวิติ ที่มีไข่และนม
และการฟังภาษาเค้าไม่ค่อยออก ทำให้ฉันได้มีเวลาได้กินอาหารอย่างมีสติมากขึ้น:)

ดื่มชาและกินขนม (บางทีสติก็กระเจิงเพราะความอร่อยจัด)

ได้สนทนา และแบ่งปันความรู้สึกที่มี



ขอบคุณที่ฉันยังมีชีวิตอยู่

และขอบคุณที่เธอยังคงได้รับรอยยิ้มของฉันเช่นกัน.....

แอดวานซ์


ขอบอก
ว่าพี่สาวชั้นแอดวานซ์มาก
นอนละเมอเป็นภาษาอังกฤษ
เข้าใจละ ว่าจะพูดเก่งได้ต้องทำแบบนี้ หึหึ ;o

วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เพียงได้แต่เป็นสาวน้อยที่ยังคงทอผ้า


การทอพรมผืนยาวๆ ทำให้เราไม่เคยได้เห็นภาพรวมของทั้งหมดว่ามันเป็นอย่างไร

เห็นเพียงแต่ผ้าบนหน้ากี่เท่านั้น

อยากจะชื่นชมในความสวยก็ไม่ได้ อยากจะรื้อมาแก้ไขก็ไม่ได้

บางทีมันอาจกำลังให้เห็นกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น

จุดหมายไม่ใช่สิ่งสำคัญอันใด

การกระแทกฟันหวีหนึ่งครั้ง บางครั้งความแรงของมันยังไม่ทำให้เรารู้สึกตัวว่ากำลังอยู่ตรงนี้

การพุ่งเส้นด้ายแต่ละครั้ง เต็มไปด้วยความคิดสู่อดีตและอนาคตมากมาย

บางครั้งเหนื่อย ผ้าที่ทอจึงออกมาหลวม

บางครั้งหงุดหงิด ผ้าจึงออกมาแน่น

หลายหลายเรื่องราวบนผืนผ้าผืนนี้


แต่ใครเล่าจะรู้

…..


ถ้ามิได้กำลังอยู่ในปัจจุบัน

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2551

ปาร์ตี้เด็กเอเชีย


คงจะเป็นการรู้จักกันเริ่มต้น ที่จะต้องมีการพบปะสังสรรค์
เพื่อเป็นการทำความรู้จักกันมากขึ้น และเป็นการพักผ่อนระหว่างสัปดาห์ไปในตัว
ความสนุกสนานก็คือพวกเราต่างทำอาหารกันมาคนละอย่าง แล้วเอามารวมๆกัน
การแบ่งๆกัน มันอร่อยมากๆเลยล่ะ 555
มาเรียนสวีดิช แต่มีเพื่อนญี่ปุ่นมากมาย ดีจริงๆ ได้ภาษาญี่ปุ่นมาบ้างด้วย
โอไฮโย สวัสดีตอนเช้า

ฮาจิเมมาชิเตะ ยินดีที่ได้รู้จัก

โกเมนนาไซ ขอโทษ

โอกาซัง โอบะจัง คุณตาคุณยาย

อาริกาโตะ อาริกาโตะ สำหรับอาหารและความสัมพันธ์ไทยญี่ปุ่นในมื้อนี้ :)

Fika


ฟิกะ คือ ช่วงเวลาของการดื่มชา กาแฟ และกินขนมกัน

เป็นช่วงเวลาของการผ่อนคลายจากงาน และมานั่งวงคุยกัน

บางครั้งใครมีข่าวสารอะไรก็มาบอกกันในช่วงเวลานี้

ดีเหมือนกันเนอะ ทำงานแบบไม่เครียด มีเวลาได้ยืดเส้นยืดสาย

แต่ที่สำคัญคือจะทำให้อ้วนได้ง่ายๆ เพราะมีช่วงสาย และบ่ายของวัน ระหว่างมื้ออาหาร

ทำให้ไม่มีหิวกันเลยทีเดียวล่ะ555

แม่บ้าน



อาทิตย์ที่ผ่านมา ทำตัวเหมือนเป็นแม่บ้าน555

ได้เรียนเกี่ยวกับการย้อมผ้า

ซึ่งไม่แตกต่างจากการทำขนมเลยล่ะ

เพราะต้องชั่งต้องตวง ต้องผสมและเคี่ยว จากนั้นก็เอาผ้าไปจุ่มในน้ำสี

ซึ่งต้องคนตลอดเวลา ช่วงเวลานั้นก็เป็นช่วงเวลาของสาวๆ

มานั่งเม้าท์พร้อมกับทำงานของตนไป เป็นสมาคมแม่บ้านมากๆ


เป็นวันแดดดีๆ ลมแรงๆ ผ้าและใจก็สดใสไปตามๆกัน

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551

ดอกไม้ริมทาง

ฉันขอบคุณที่เจ้าเป็นดอกไม้ริมทาง
เธอสวยและงดงามแม้เธอไม่ได้รับการเอาใจใส่
เธอเป็นผู้ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ
เธออดทน ต้อสู้ ไม่หวาดหวั่นต่อหยาดฝนและลมหนาว
ขอบคุณที่เธออยู่ตรงนี้
เธอเป็นแรงใจยามฉันท้อ
เธอเป็นเพื่อนยามฉันเหงา
เธอเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันมีรอยยิ้ม....

เอาใจช่วยอยู่ทางนี้

อยากให้สถานการณ์ทางนู้นได้รับความเย็นจากทางนี้ไปบ้าง

คนทางนี้ไม่รู้จะช่วยหรือจะร่วมสถานการณ์ได้อย่างไรดี

ได้เพียงแต่ส่งแรงใจจากคนคนนึง หวังว่าใครบ้างคนจะได้รับ

เพียงเค้าได้เห็นรอยยิ้ม บางทีความโกรธอาจจะลดลง

เพียงแต่เค้าได้หยุดพัก บางทีอาจได้มองเห็นอะไรลึกซึ้งขึ้น


สูดอากาศลึกลึกกก........
แล้วทุกสิ่งจะผ่านพ้นไป................

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2551

บ้านของฉัน



ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่บ้าน ฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
ไม่แน่ใจในความรู้สึกที่เกิด หรือที่ได้สัมผัส
อาจจะเป็นเพราะกายกับใจเราได้อยู่ตรงนี้กระมัง ฉันจึงมีความรู้สึกเหมือนว่าได้อยู่บ้านจริงๆ


คิดถึงคำของพี่โก๋ ว่าเราควรหมั่นบีบเมล็ดงา ปี๊ด ปี๊ด แม้มันจะได้น้ำมันเพียงหยดเล็กๆ แต่เมื่อค่อยๆนำมา รวมกันมันก็จะเยอะเอง เราไม่ควรบีบหนึ่งเมล็ด แล้วหลงระเริงและหยุดอยู่เพียงนั้น หรือเราไม่ควรหวังน้ำมัน ในโหลใหญ่ทีเดียว ทั้งๆที่เรายังไม่ได้เริ่มบีบมันด้วยซ้ำ ได้น้ำมันทีละน้อยๆก็อย่าเพิ่งเบื่อไปก่อนล่ะ
คำพูดเหล่านี้ลอยมากับสายลมเย็นเบาๆให้นึกถึง


การเดินทางที่ผ่านมา กระเป๋าก็สุดแสนจะหนัก แต่ก็แอบดีใจที่ไม่มีความโกรธ ความหงุดหงิดอยู่ในกระเป๋าให้ เราต้องแบกมันเพิ่มเข้าไปอีก หนักก็รู้ว่ามันหนัก ปวดก็รู้ว่ามันปวด....อ่า.....ปวดง่ะ


การเดินทางมาที่นี่ สิ่งที่ตั้งใจอีกอย่างนอกเหนือจากการเรียน Textile Craft & Design นั่นก็คือการทำสวน
แต่ว่าวิชานี้ไม่ได้ลงคอร์สแต่อย่างไร ตั้งใจทำทุกๆช่วงของแต่ละวัน คอยรดน้ำเมล็ดพันธุ์ที่ดี และคอยดูแลเมล็ดพันธุ์ที่ไม่น่ารักอยู่เรื่อยๆ อีกหน่อยก็จะมีสวนที่งดงามและมีบ้านที่น่ารัก เน๊อะ เนอะ


หายใจเข้า หนาวววววว

หายใจออก ฉันเป็นหมีขั้วโลกอ้วนกลมอ้วนกลมหรือเปล่าเนี่ย (*,*)


ยังคงเบิกบานด้วยรอยยิ้ม
สาวน้อยทอผ้าและทำสวน.....

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ค่ำคืนสุดท้ายในห้องสีม่วง

คืนนี้คงจะเป็นคืนสุดท้ายที่ได้นอนในห้องห้องนี้แล้วสินะ
กว่าจะได้กลับมาเจอกันอีกที อาจจะหนึ่งปี สองปี สามปี หรือสี่ปี ไม่มีใครรู้ได้


ใครต่อใครถามว่า ตื่นเต้นบ้างหรือยัง
ประโยคคำถามนี้มักจะทำให้เจ้าตัวผู้ที่จะกำลังเดินทางต้องหยุดไปแปบนึงเพื่อคิดว่ากำลังรู้สึกไรเหรอ
ทำไมล่ะ ใยเจ้าไม่มีความตื่นเต้นบ้าง


อาจจะเป็นเพราะมีผุ้ร่วมเดินทางไปด้วย
อาจจะเป็นเพราะมันยังไม่ได้เหยียบสนามบิน
อาจจะเป็นเพราะยังวุ่นๆ งงๆกะทุกอย่างที่ตระเตรียม
อาจจะเป็นเพราะเจอคนมากมาย หลากหลายเวียนเข้ามา


เท่าที่รู้คงจะเป็นเพราะเรายังไม่ได้ "หยุด" เลยตังหาก
หยุดที่จะรับรู้ความรู้สึกภายใน


จะปรับตัวได้ไหมนะกับการเจอผู้คนมากมาย เลี้ยงแล้วเลี้ยงอีก
กับความตรงกันข้ามของผู้คนที่นู่นที่แทบจะไม่มีให้เห็น


ค่ำคืนนี้ดีใจมากที่เรามีความรู้สึกตื่นเต้นขึ้นบ้างแล้ว
จริง... มือที่กำลังจับตะเกียบ...หัวที่กำลังคิดปรุงแต่ง ว่าฝรั่งจะคิดไงกะการใช้ตะเกียบหมุนบะหมี่เข้าสู่ปาก
ความตื่นเต้นบังเกิด...หยุดที่จะรับรู้ความรู้สึกข้างใน


ดีไม่น้อย ถ้าการไปครั้งนี้ จะฝึกให้เราได้ภาวนาทุกขณะ
ดีไม่น้อย ถ้าการไปครั้งนี้ จะทำให้เรารับรู้ความรู้สึกตามความเป็นจริง
ดีไม่น้อย ถ้าการไปครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญที่จะเดินต่อไป
ดีไม่น้อย ถ้าการไปครั้งนี้ จะสามารถนำความรู้มาใช้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
ดีไม่น้อย ถ้าการไปครั้งนี้ จะทำให้ผู้อื่นที่เรารัก ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในรูปแบบของแต่ละคน


ขอบคุณป๋าที่ทำให้มีวันนี้ ขอบคุณแม่ที่วันนี้เราได้คุยกัน...อ่าจะร้องไห้
ขอบคุณพระ สำหรับความเมตตาและคำเทศน์ที่เตือนสติทั้งหลาย
ขอบคุณครอบครัวพระที่เลี้ยงลูกคนนี้เหมือนลูกแท้ๆ
ขอบคุณพี่ ป้า น้า อาที่ดูแลหลานคนนี้อย่างดี
ขอบคุณแรงใจจากเพื่อนๆ พี่ๆ และสังฆะทุกๆคน


ไม่มีจากไป ไม่มีกลับมา No coming, no going
ไม่มีก่อนนี้ไม่มีวันหน้า No after, no before
โอบเธอไว้แนบใจฉัน I hold you close to me
ปลดปล่อยเธอจากพันธนา I release you to be so free
เพราะตัวฉันอยู่ในใจเธอ Because I am in you,
และเธออยู่ในฉันนี้ and you are in me
เพราะตัวฉันอยู่ในใจเธอ Because I am in you,
และเธออยู่ในฉันนี้ and you are in me

วันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เก็บแต้ม


ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองต้องจากถิ่นที่เกิดไปนาน นานที่สุดตั้งแต่เคยเกิดมา

เลยเริ่มรู้สึกว่ารักถิ่นที่เกิดตัวเอง มีหลากหลายที่ที่เรายังไม่เคยได้ไป ได้สัมผัส
ในช่วงสามสเดือนที่ผ่านมา เลยได้ไปสัมผัสมากกว่าที่คิด...เรียกว่าเก็บแต้มจริงๆ
ไปมากจน เอ๊ะหลงลืมบางที่ไปหรือเปล่า
แต่เอาล่ะ เอาเท่าที่นึกได้ และจีเก้าได้บันทึกมันมา....



สถานที่แรกที่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทาง นั่นคือรีทรีทสไตล์หมู่บ้านพลัมที่ไร่หวานสนิท จ.สระบุุรีเป็นเวลาสิบวัน ทั้งบรรยากาศของสถานที่ รอยยิ้มของผู้ร่วมภาวนา และเนือ้หาช่างงดงาม



กลับมาจากงานภาวนาไม่นาน หนีขึ้นอีสาน จ.บุรีรัมย์ ไปทอผ้าที่อ.นาโพธิ์ เป็นกลุ่มทอผ้าไหม ที่ส่งออกได้มากมาย คราวนี้ได้ไปเรียนรู้ขุั้นตอนตั้งแต่เลี้ยงไหม มัดหมี่ ย้อมสี และขึ้นเส้นยืน กรอเส้นพุ่ง และทอ ทริปนี้ต้องขอบคุณพี่ปุ๋ย และน้องแนนซี่ ที่ทำให้มีโอกาสได้เรียนรู้การทอผ้าในถิ่นเกิดเมืองเรา



อีสานแล้วเราก็ย้ายถิ่นลงใต้ ไปนอนวัดธารน้ำไหลสวนโมกข์ จ.สุราษฎร์ธานีหนึ่งคืน รุ่งขิ้นจึงไปสวนโมกข์นานาชาติซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน เพื่อเข้าคอร์สการภาวนา "สัมผัสการตื่นรู้" ของพี่ตั้มโยคี



หลังจากภาวนากันมาเยอะ ก็มีสาวนึงได้ออกจากงาน แล้วเสี้ยนอยากไปเที่ยว เลยไปแอ่วเหนือกันมา ได้ไปพักพิงบ้านอาจารย์อ้อมกะพี่ตี๋ อบอุ่นมากๆ ไปทำบุญและกิน กิน กิน ก็มีไปกินร้านอาหารมังที่ร้านคุณเชิญ และที่พรรณพันในวัดสวนดอก จากนั้นไปบ้านไร่งาม ไปร้านเล่า ไปกินเค้กร้านพายสบาย ไปแวะชมร้านอวตาร์ ไปกินสวนนม ไปเยี่ยมน้านกที่ดอยสะเก็ด ไปแม่ปั้นดินพ่อทำสวน ไปตักบาตรดอกไม้ ไปวัดสันป่าสักวรอุไร ไปกินเค้กที่.....อืม หิวเลยอ่า



ไปเชียงใหม่เสร็จ ตอนขากลับก็แวะนอนบ้านคุณชื่นหนึ่งคืน ตื่นมาเดินตลาดเช้า เมืองอุทัยเป็นเมืองเล็กๆที่น่ารักมากๆเลย




อีสานก็แล้ว ใต้ก็แล้ว กลางก็แล้ว เลยขอไปตะวันตกกันบ้าง คราวนี้ไปวัดของท่านมิซสุโอะ สวดมนต์ ไหว้พระ และชมธรรมชาติ...





กลับมาไม่นาน ก็ไปมีตติ้งของสาวๆ ต้อนรับการกลับมาของเพื่อน และอำลาผู้ที่เดินทางไปเรียนต่อทั้งหลายแหล่งรวมตัว เป็นบ้านริมหาดที่หัวหิน ทริปนี้ไม่ได้ทำไรเลย ถ่ายรุปกันนานรวมกันประมาณห้าชั่วโมงได้555




ไปหัวหินไม่นานก็ได้กลับไปหัวหินอีกครั้ง เพราะว่าพาน้าและน้องที่มาจากอเมริกาไปเที่ยว






และขากลับได้แวะไหว้พระที่พระปฐมเจดีย์





วันอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษาที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปทำบุญที่อ่างเก็บน้ำเขาใหญ่ จากนั้นได้เดินทางไปวัดคำประมง จ.สกลนคร เป็นวัดที่หลวงตามีโครงการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งด้วยยาสมุนไพร ไม่ได้บอกว่ามาที่นี่แล้วจะหายได้ร้อยเปอร์เซน แต่ให้ตายได้อย่างมีความสุข การรักษาที่นี่ได้ต้องมีญาติผู้ป่วยมาอยู่ด้วยที่วัดอย่างน้อยหนึ่งคน และทุกวันทั้งผู้ป่วยและญาติต้องร่วมปฏิบัติและภาวนาไปพร้อมกันกับการรักษาด้วยยา

มาแล้วประทับใจเพราะกำลังใจของพวกเขา ไม่รู้เลยว่าเค้ากำลังป่วยกันอยู่ และทุกเช้าและทุกเย็นจะมีการร้องเพลง"กำลังใจให้คุณ" ฟังกี่รอบต่อกี่รอบก็ไม่มีเบื่อจริงๆ


ขอมอบดอกไม้ในสวนนี้เพื่อมวลประชา

จะอยู่แห่งไหน จะใกล้จะไกลจนสุดขอบฟ้า

ขอมอบหวังดังดอกไม้ที่ผลิสดไสวอาณา

เป็นกำลังใจให้คุณ เป็นกำลังใจให้เธอเป็นสิ่งเสนอให้มา

ดวงตะวันทอแสง มิถอยแรงอัปรา

เป็นเปลวไฟที่ไหม้นาน เป็นสายธารที่ชุ่มป่า

เป็นแผ่นฟ้าทานทน

ขอมอบดอกไม้ในสวน ให้หอมอบอวลสู่ชน

จงสบสิ่งหวังให้สมตั้งใจให้คลายหมองหม่น

ก้าวต่อไปตราบชีวิตสุด ดุจกระแสชล

เป็นกำลังใจให้คุณ เป็นกำลังใจให้เธอ เป็นสิ่งเสนอให้คุณ

เป็นกำลังใจให้คุณ เป็นกำลังใจให้เธอ เป็นสิ่งเสนอให้คุณ





ถึงทริปสุดท้ายที่ได้ไป ก่อนจะหยุดเตรียมตัวเพื่อไปต่างแดนกันเสียที
ทริปนี้ไปเขาแผงม้า ประชากรเยอะเหลือเกิน ได้ดำนา ดูกระทิง และ ทำสปาเท้า โดดน้ำคลอง


ต้องขอขอบคุณผู้ร่วมเดินทางทุกทริป และขอขอบคุณเวลาที่มีค่าที่ให้ได้สัมผัสความงดงามทั้งหมด..


วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ปรี๊ด

ไม่นานมานี้ มีคนถามว่าถ้าเราปรี๊ดสุดๆ สิ่งที่จะพูดออกมาคือคำว่าอะไร
ตอนนั้นนั่งคิดอยู่นาน แล้วก็ตอบออกไปว่า " ทำไมถึงทำกับเราแบบนี้อ่ะ"
ในช่วงเวลานั้นคิดแล้วคิดอีกว่า ถ้าเราปรี๊ดจริงๆเราจะพูดคำนี้จริงเหรอ

ความหมายที่ได้จากประโยคนี้ ที่เพื่อนๆถ่ายทอดสู่กันมา หนีไม่พ้นคำว่า "น้อยใจและกังวลใจ"

เช้าวันนี้ ฉันได้พูด "ทำไมถึงทำกับส้มแบบนี้" "ทำไมถึงทำกับส้มแบบนี้" พร้อมกับหยาดน้ำตาที่รินไหล
กลับมามองความรู้สึกตัวเอง มันเต็มไปด้วยความรู้สึกทั้งสองอย่างนั้นเต็มๆ
คำคำนี้มันเหมือนว่ากำลังต่อว่าคุณคนที่ทำให้เรารู้สึก แต่ความจริงแล้วถ้ามองดีๆ จะพบว่าคุณคนที่ทำให้เรารู้สึก ก็คือเรานั่นเอง ฉันเป็นคนเริ่มมัน ฉันก็ย่อมได้รับผลของมัน มันเป็นเช่นนั้นเอง.....

วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

หลงลืมและหลอกลวง

คุณ ก : แปลกเนอะว่าวันๆนึง เรามักจะมองแต่สิ่งที่อยู่ข้างหน้า ที่มันไกลตัวออกไป
โดยที่เรามักจะลืมมองสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราแท้ๆ
คุณ ข : .....
คุณ ก : ดูสิมีวันไหนบ้าง ?? ที่เราได้มองเห็นขนตาของเราเอง


คุณ ข : นั่นสิ แล้วคิดดูดิว่า สิ่งที่เราเห็นน่ะ บางทีอาจไม่มีอยู่จริงแล้วก็ได้
คุณ ก : .....
คุณ ข : ดูสิ แสงดาวที่สวยงามที่เราเห็นอยู่ บางทีดาวดวงนั้นอาจจะดับไปแล้วก็ได้ ใครจะรู้??

เอ็มเอสเอ็นเตือนสติ

พอดีว่าใช้เอ็มเอสเอ็นที่ถูกตั้งค่าไว้เป็นภาษาไทย
แล้ววันดีคืนดี ก็กดไปเลือกสถานะ "เดี๋ยวกลับมา" หรือ Away นั่นเอง


แต่ไอ้ที่เห็นแล้วยิ้มได้ก็เป็นเพราะว่า มันเรียกสติเรากลับคืนมาในทันทีทันใด

เพราะหน้าต่างมันขึ้นชื่อว่า "เดี๋ยวกลับมา อยู่ในปัจจุบัน"

วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

โปสการ์ด

มีคนบอกไว้ว่า บนโปสการ์ดมันมีเรื่องราวมากมาย
และมันก็ง่ายมากที่จะถึงมือผู้รับ
และมันก็ง่ายมากที่จะหล่นหายไปกลางทาง


บางทีท่านบุรุษไปรษณีย์อาจจะหมั่นไส้ในความเลี่ยนของมัน
หรือบางทีลมอาจจะพัดมันตกน้ำไป..ใครจะรู้


สิ่งสำคัญของมัน..อาจไม่ได้อยู่ตรงที่มันถึงมือผู้รับหรือเปล่า
เพราะคนรับไม่ได้รู้หรอกว่าจะมีโปสการ์ดใดๆมาถึงตน
แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ผู้ส่งต่างหาก ว่าเค้าคนนั้นมีความสุขกับการได้เขียนและส่งไปเช่นไร
มันเป็นเพียงความรัก ความปรารถนาดีที่มอบให้ และต้องพร้อมที่จะไว้วางใจมันเช่นกัน

วิกฤตเป็นโอกาส

เมื่ออาทิตย์ก่อน ขณะขับรถไปตามถนนเกษตร-นวมินทร์
อยู่ๆรถก็ติดเอาเรื่อง
ดึกก็ดึกแล้ว
หงุดหงี๊ดหงุดหงิด
พอรถค่อยๆเคลื่อนก็ได้รู้ว่าข้างหน้าเกิดอุบัติเหตุขึ้น...อืม..ม...ความสงสัยก็เริ่มลดลง
พอรถเคลื่อนไปบริเวณเกิดเหตุ ใจก็เต้นตึกตัก ตึกตัก อยากจะกรี๊ดออกมา
แต่ที่กรี๊ดไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เป็นเพราะเจอเพื่อนสมัยประถมที่กำลังอยู่ในเครื่องแบบ
ไม่ใช่เครื่องแบบนักเรียน ไม่ใช่เครื่องแบบชุดพละ
ไม่ใช่ผ้าขาวม้า อันเป็นชุดประจำตัวไม่ว่าเขาคนนั้นจะไปงานใดก็ตาม
แต่ที่เห็นเป็นเครื่องแบบอาสาสมัครหน่วยกู้ภัย
ความหงุดหงิดเปลี่ยนเป็นความซึ้งใจ...ในความงดงามของเพื่อนคนนั้น
ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ...อ้ายบุญ บุญฤทธิ์ โพธิ์แก้ว

วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2551

สองคำแรกที่เรียนรู้

i d a g (อี-ดอก) วันนี้

i m o r g e n (อี-ม่อ-ร่อน) พรุ่งนี้




ขอบคุณ :) จานพิมที่ทำให้บทเรียนน่าสนใจขึ้นมาก555

svenska

A B C D E F G H I J K L M
อา เบ เซ เด เอ เอฟ เก โฮ อี ยี โค แอล เอ็ม

N O P Q R S T U V W X Y Z
เอ็น อู เป คิว แอร์ เอส เต อิว เว ดุบเบลเว อิกซ์ อีย์ แซตต้า

๐ . . . .
A A O
โอ แอ เออ

1 2 3 4 5 6 7 8 9 10

ett tva tre fyra fem sex sju atta nyu tyu
เอ็ท โทว เทรย์ ฟี่ร่า เฟม เซ็ค (ชคู) โอตตะ หนิว ทิ๋ว

วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2551

this too will pass



ในอดีตมีพระราชาผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรฮีบรูพระนามว่าโซโลมอน
พระราชาได้สั่งให้เจ้าเมืองทุกเมืองทำของวิเศษให้อย่างหนึ่ง
โดยของสิ่งนั้นต้องมีคุณสมบัติวิเศษคือ....
ของสิ่งนี้จะสามารถเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกของพระราชาได้
หากมีความทุกข์อยู่ก็จะหายจากทุกข์
หากมีความสุขอยู่ก็จะคลายความสุขลง
ไม่ว่ากำลังร้องไห้อยู่หรือหัวเราะอยู่ ก็จะสามารถหยุดอารมณ์ทั้งสองอย่างได้
เมื่อครบกำหนด เจ้าเมืองใหญ่เมืองใดๆก็ไม่สามารถหาของตามที่พระราชาต้องการได้
แต่มีเจ้าเมืองเล็กๆ อยู่เมืองหนึ่งได้บอกว่ามีแหวนวิเศษ
มีคุณสมบัติอย่างที่พระราชาต้องการมาถวาย พระราชาจึงรีบให้มาเข้าเฝ้า
เมื่อพระราชาได้เห็นแหวนวงนั้นแล้ว ปรากฎว่าเป็นแหวนทองเรียบๆวงหนึ่ง
พระราชาก็สงสัยว่าแหวนนี้จะมีความวิเศษได้อย่างไรกัน
เมื่อพระราชานำไปใช้ก็ปรากฎว่าแหวนวงนี้
สามารถเปลี่ยนอารมณ์ของพระองค์ได้จริงๆ
ไม่ว่าพระองค์จะกำลังมีความทุกข์หรือความสุขอยู่ก็ตาม
เพียงเพราะว่าแหวนวงนั้นมีข้อความสั้นๆ สลักไว้ว่า

.....แล้วสิ่งนั้นจะผ่านพ้นไป

ยามใดที่พระราชามีความสุข ความยินดี หรือมีความทุกข์
ความโกรธ ความกังวลไม่สบายใจใดๆ ก็ตาม
เมื่อมองไปที่แหวนนี้ซึ่งเตือนสติพระองค์ว่า

.....แล้วสิ่งนั้นจะผ่านพ้นไป


ทำให้พระองค์เข้าใจว่า สิ่งที่พระองค์กำลังประสบอยู่ไม่ว่าสุขไม่ว่าทุกข์
มันไม่จีรังยั่งยืน เกิดขึ้นมาแล้วก็จากไป
นับแต่นั้นมา พระราชาก็ไม่คิดที่จะนำความทุกข์มากังวล
มีความสุขก็ไม่ได้ยึดติดกับความสุขนั้น
ทำให้พระราชาสามารถตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง
และตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อประชาชนของพระองค์
จนได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นที่รักใคร่ของประชาชน





ในการดำเนินชีวิตของเรา เราต้องประสบกับโลกธรรม8 คือ
ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็ต้องมีเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เป็นธรรมดา
หากเราสามารถเตือนสติตนเองได้ว่า "แล้วสิ่งนั้นก็จะผ่านพ้นไป"
ก็จะช่วยให้เราทำใจเป็นกลางได้ ทำใจเป็นปกติได้
เมื่อความรู้สึกต่างๆเกิดขึ้น
เช่นหงุดหงิด โกรธ น้อยใจ เสียใจ ขี้เกียจ วิตกกังวล
หรือมีความรู้สึกตื่นเต้น ยินดีพอใจ ก็ตาม
ให้เรามีสติ ปรับปรุงลมหายใจยาวๆ หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ
ให้เกิดความรู้สึกตัว รักษาใจเป็นกลางๆ ทำใจให้สงบ และทำใจปล่อยวางว่า
" แล้วสิ่งนั้นจะผ่านพ้นไป"
เมื่อมีทุกข์ ทุกข์นั้นไม่ใช่สิ่งจีรังยั่งยืน
ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะนำความทุกข์นั้นมาเป็นกังวล
เมื่อมีสุข สุขนั้นก็ไม่จีรังยั่งยืนเช่นกัน เราไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง

ขอบคุณนิทาน :) ใบปลิวจากวัดสุนันทวนาราม

เพราะอะไร





เธอเคยถามกับฉัน ที่ฉันรักเธอ

ว่าอยากจะรู้รักเพราะอะไร

กลับไปคิดไปค้น ใคร่ครวญมากมาย

ไม่เจอ...คำตอบ



ที่ผ่านมานั้นไม่คิดอยากรู้ที่มา

และไม่เคยหาเหตุผลใด ๆ

แค่ตัวฉันเพียงรู้ว่าเป็นสุขใจเมื่ออยู่เคียงกัน



อาจจะฟังแล้วไร้เหตุผล

ว่าสิ่งที่ทำให้คนรักกัน

หรือเป็นเพียงรอยยิ้ม

รอยนั้นเมื่อวันแรกเจอ



หากจะหาเหตุผลสักคำ

ว่าสิ่งที่ทำให้ฉันรักเธอ

นั่นเป็นเพราะตัวฉันมาเจอ เจอสิ่งดีงาม



..................ตั้งแต่วันฉันพบเธอ ก็เจอแต่สิ่งดีงาม...................

ขอบคุณบทเพลง :) พี่จิก ประภาส ชลศรานนท์

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2551

The leaf of one tree




we are the leaf of one tree


we are the leaf of one tree


the time has come for all to live as one,


we are the leaf of one tree


we are the wave of one sea


we are the wave of one sea


the time has come for all to live as one,


we are the wave of one sea


we are the star of sky


we are the star of sky


the time has come for all to live as one,


we are the star of sky




บทเพลง :) หมู่บ้านพลัม

ภาพประกอบ :) 'จิตตโสตินันท์ ' และ 'จิตรานรมน'

วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2551

เธอคือดอกไม้


















เธอคือดอกไม้

แตกต่างบางมุมมอง

บางมุมหอม บางมุมหมด ไม่สดใส

บางมุมสงบ บางมุมรู้สึก บางมุมจริงใจ

บางมุมให้ บางมุมรับ บางมุมลา

บางมุมเกิด บางมุมดับ บางมุมสุข

บางมุมทุกข์ บางมุมเห็น บางมุมสดใส

บางมุมหยุด บางมุมแตกต่าง บางมุมเปิดใจ

บางมุมให้ บางมุมงดงาม แตกต่างมุมมอง




บทกลอน :) พี่บีเขาแผงม้า



วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2551

กอดสมาธิ

ยามที่เรากอด... หัวใจของเราเชื่อมโยงถึงกัน และเรารู้ได้ว่า เรานั้นไม่ได้แปลกแยกจากกันและกันเลย การกอดด้วยความตระหนักรู้และสมาธิ สามารถเยียวยา สร้างความปรองดอง ความเข้าใจ และความสุขได้อย่างมาก การกอดสมาธินี้ได้ช่วยปรับความเข้าใจให้คนมามากมายแล้ว ไม่ว่าจะเป็น พ่อกับลูกชาย แม่กับลูกสาว เพื่อนกับเพื่อน หรือคนอีกมากมายในหลากหลายรูปแบบความสัมพันธ์


เราอาจจะฝึกกอดสมาธิกับเพื่อน กับลูกสาว กับคุณพ่อ กับคนรัก หรือแม้แต่กับต้นไม้ ขั้นตอนในการกอดสมาธินั้นเริ่มต้นด้วยการไหว้ และตระหนักรู้ถึงการดำรงอยู่ ณ. ที่นี้ของกันและกัน จากนั้นเราสามารถเบิกบานกับการตระหนักรู้ถึงลมหายใจซักสามลมหายใจ เพื่อให้เราดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะอย่างเต็มเปี่ยม เมื่อพร้อมแล้วเราจึงกางแขนเปิดรับ และสวมกอดกันไว้สามลมหายใจ

ในลมหายใจแรก..เราตระหนักรู้ถึงการดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะของตนเอง และความสุขของเรา


ในลมหายใจที่สอง...เราตระหนักรู้ถึงการดำรงอยู่ของอีกฝ่ายหนึ่งในปัจจุบันขณะ และนั่นทำให้เรามีความสุขเช่นเดียวกัน


ในลมหายใจที่สาม...เราตระหนักรู้ถึงการดำรงอยู่ด้วยกันในปัจจุบันขณะ บนโลกใบนี้ นั้นทำให้เรารู้สึกขอบคุณและสุขใจที่สามารถอยู่ร่วมกันในขณะนี้ได้

จากนั้นเราคลายแขนออก และไหว้กันและกันเพื่อแสดงความขอบคุณ


การกอดกันในลักษณะนี้จะทำให้ผู้ที่เรากอดรู้สึกนั้นดำรงอยู่อย่างแท้จริงและมีชีวิตชีวา เราไม่จำเป็นต้องรอจนถึงเวลาที่ต้องแยกจากกันเพื่อฝึกปฏิบัติการกอดสมาธิกัน เราสามารถกอดกันเดี๋ยวนี้ เพื่อรับความอบอุ่น ความมั่นคงจากเพื่อนของเราได้ในทันทีในปัจจุบันขณะ การกอดสมาธิอาจถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติเพื่อปรับความเข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง ในขณะที่เรากอดกันในความเงียบ ความในใจของเราอาจปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนว่า "ที่รัก เธอมีค่าสำหรับฉันมาก ฉันขอโทษที่ฉันเคยขาดสติและไม่เอาใจใส่เธอ ฉันผิดไปแล้ว โปรดให้โอกาสฉันได้เริ่มต้นใหม่ด้วยเถิด ฉันขอสัญญา"
ขอบคุณการกอดแบบหมู่บ้านพลัม
เรียบเรียง :) พี่โก๋

ศีล16




เคยบ้างไหม มีเรื่องงุนงง ชวนให้สงสัย และพร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้คำตอบ


แต่บางครั้งบางครา ถ้าเราไม่พยายามที่จะหาคำตอบ คำตอบก็จะมาหาเราเอง...


คืนวันหนึ่งในความฝัน มีผู้ใหญ่คู่หนึ่งที่เรานับถือ ฝ่ายชายมาผูกข้อมือเราด้วยสร้อยกระดาษสีทอง และฝ่ายหญิงก็ถามเราขึ้นมาว่า พรุ่งนี้สะดวกมั้ย ให้กินมังและถือศีล16นะ


นั่นคือเหตุการณ์ในความฝันที่ยังบันทึกได้ในความตื่น


....


แต่อะไรล่ะ คือ "ศีล16"


ในใจพยายามค้นหาคำตอบ


ศีล5 ศีล8 ศีล10 ศีล227 นั่นคือสิ่งที่เคยเรียนมา
เอ...หรือจะเป็นศีล5 ศีล14 แบบฉบับหมู่บ้านพลัม



แล้วอะไรล่ะ คือ "ศีล16"



หรือถ้าไม่คิดไรมาก บางทีอาจเป็นเลขตรงๆของหวยงวดนี้!!!


....



....


วันคืนผ่านไป ผ่านไปหลายความฝัน และผ่านไปหลายความตื่น


จนได้ไปวัดป้าสุนันทวนาราม แบบงงๆๆ ไม่ทันได้ตั้งตัว และไม่รู้ว่าไปทำไร รู้แต่ว่าเป็นผู้นำทางหรือเป็นผู้ขับรถไปนั่นเอง


ไปก็พบกับแม่ชี ได้ลงทะเบียนเข้า ก็ถึงได้รู้ว่านี่คือการเข้าเหมือนกับการภาวนา ก็ได้จัดแจงจะนำสัมภาระเข้าห้อง


จนมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้อง.......


......


ไม่มีกุญแจ...


แต่มันสามารถไขได้...

ไขปัญหาที่ค้างคาในความฝันนั้น



เข้าใจแล้ว....คำตอบมันอยู่ตรงหน้า...มันเป็นเช่นนี้เอง

วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ความรู้สึก



ขอบคุณที่เธอได้แสดงความรู้สึกให้ฉันได้รับรู้
หรือเป็นเพียงฉันที่กำลังแสดงความรู้สึกสนุกให้เธอได้รับรู้กันแน่นะ :)

วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ถักทอ



เมื่อนึกถึงการทอ ใครต่อหลายคนคงนึกว่ามันจำเป็นจะต้องเกิดจากด้ายหลากหลายเส้นมาร้อยเรียงต่อกัน

แต่ความจริงไม่ว่าอะไรก็สามารถนำมาทอได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นไม้ หนัง กระดาษ ยาง เศษผ้า พริก..


หรือแม้แต่คำพูดเรายังสามารถเรียงร้อยหรือทอมันขึ้นมาได้


มิฉะนั้นคงไม่มีคำว่าร้อยแก้วร้อยกรอง หรือคำว่าด่าทอแน่ๆ


สิ่งสำคัญของการทอจึงไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่นำมาทอ ไม่ได้อยู่ที่สิ่งสำเร็จที่ออกมาเป็นผืน เป็นแผ่น เป็นบท หรือเป็นบาท

แต่ "คุณค่าของมัน เกิดขึ้นในระหว่างที่เราถักและเราทอ"......ฉันเชื่ออย่างนั้น

เริ่มต้นเดินทาง - my portfolio









ขอบคุณ...เป้าหมายที่ทำให้เราดำรงอยู่ในวิถีแห่งการเดินทาง
ขอบคุณ...ผู้ร่วมเดินทางทุกคนที่ทำให้การเดินทางนี้สำเร็จไปลุล่วง
ขอบคุณ...แรงบันดาลใจต่างๆที่ทำให้เกิดงานที่ดี
ขอบคุณ...สองมือและหนึ่งใจที่ทำให้สายตาเห็นสิ่งที่งดงาม