วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Be kind


เธอได้รับมอบหมายโทรเจคใหม่


ให้เป็นผู้ดูแลการทอหนึ่งเทคนิค แล้วเธอจะต้องเรียนรู้และศึกษาเทคนิคนั้นๆจนเชี่ยวชาญ และเผยแพร่ไปยังเพื่อนๆ เผื่อเพื่อนจะได้เข้าใจและสร้างผลงานต่อจากกระบวนการที่เธอเตรียมไว้เสร็จสิ้นและพร้อมที่จะนั่งลงทอ


ครูบอกกับเธอว่า ลินินที่เธอใช้ช่างเส้นเล็กและอ่อนโยนเหลือเกิน แต่พร้อมก็โกรธและวิ่งเป็นพัลวันได้ง่ายๆทีเดียว


ฉะนั้นเธอจะต้อง “ใจดีและใจเย็น” กับมันมากๆ


เธอรู้สึกดีกับคำแนะนำของครูเป็นอย่างมาก


นอกจากที่จะเรียนรู้ที่จะใจดีกับคนรอบข้างแล้ว


เธอจะต้องใจดีแม้แต่วัตถุรอบๆตัวเธอด้วย


ครั้นวันที่เธอต้องใช้เวลาร่วมกับลินินก็มาถึง


415 ครั้งที่เธอต้องเลือกพาลินินจากห้าให้เหลือหนึ่งเพื่อลอดเข้าตะกรอแต่ละตะกรอ


จากหนึ่งเธอต้องรวมเป็นสาม และค่อยๆไล่เรียงเข้าสู่ช่องฟันหวีทีละช่อง ทีละช่อง


แล้วทุกอย่างก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์กับความใจดีของเธอ


แต่นั่นไม่ได้เพียงพอที่จะทำให้ลินินร่าเริง


ลินินเริ่มปั่นปวนและโกรธในที่สุด


ลินินไม่พร้อมที่จะเป็นผ้าผืนงาม


แต่ครูบอกว่าไม่เป็นไร ตอนทอค่อยๆ จับค่อยดูแลมันไปตลอดทางก็แล้วกัน


เธอดีใจมาก ที่เธอไม่ต้องทำ 415ครั้ง อีกครั้ง


แต่ความดีใจก็ไม่ได้อยู่กับเธอนานเลย


สุดท้ายเธอเลือกที่จะทำใหม่อีกครั้ง เป็นการเต็มใจที่จะทำ เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่สบายใจของเธอ


เธอตระหนักได้ว่าเธอไม่ใช่เจ้าของผ้าผืนนี้


แต่มันเป็นของทุกๆคน


แล้วมันก็จะเป็นเรื่องง่าย ถ้าทุกคนมีความสุขในตอนทอ แลกกับความลำบากของเธอในช่วงต้น


830 ครั้ง ที่เธอได้เรียนรู้


ความใจดีอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ


ถ้าเธอยังขาด “ความเข้าใจ” ในสิ่งที่มันเป็น


ตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว.... และลินินก็ตอบแทนด้วยรอยยิ้มต่อเธอเช่นกัน....

Gardener



นกไนติงเกล


เมื่อฤดูร้อนมาถึง นกไนติงเกลตัวหนึ่งก็มาหลบอยู่ในสวน มันร้องเพลงเจื้อยแจ้วทุกค่ำคืนจากต้นสนดำเก่าแก่ข้างสระน้ำ ประสานเสียงกับจิ้งหรีด อย่างไพเราะเพราะพริ้ง

ตั้งแต่คนสวนได้ยินของมันครั้งแรก เขาก็ออกมาฟังเสียงอันสดใสของมันมาจากโขดหินริมสระน้ำทุกค่ำคืน และที่นั่น เขาเห็นเด็กหญิงผมบลอนด์ไว้เปียคนหนึ่งมากกว่าหนึ่งครั้ง ซึ่งแอบหนีออกมาตอนพ่อแม่เผลอ

ขณะพูดคุยหย่อนใจยามค่ำที่บ้าน แล้วเดินแฝงเงามือของถนนมายังสวน

ในคืนหนึ่ง ขณะเด็กหญิงกำลังฟังเสียงเพลงของนกอย่างเพลิดเพลิน คนสวนก็ปรากฏตัวและนั่งลงข้างเธออย่างเงียบๆ

“หนูไม่เคยได้ยินอะไรไพเราะอย่างนี้มาก่อนเลย!”เด็กหญิงพูด ยังคงเหม่อมองไปทางที่เสียงนกลอยมา
คนสวยยิ้มให้กับความไร้เดียงสาของเด็กหญิง

“คงเพราะเหตุนี้ก็ได้นะ นกไนติงเกลถึงร้องตอนกลางคืน” เขาพูดด้วยเสียงกระซิบ เพื่อที่เราจะได้ชื่นชมเสียงอันสดใสของมัน โดยไม่มีเสียงของนกอื่นๆ มาดึงดูดเราไป”

เด็กหญิงหันมาทางคนสวน เธอถามเขาพร้อมกับทำตาโต

“คนสวนคะ ลุงเคยเห็นนกไนติงเกลไหม”

“เคยสิ!” เขาตอบ “บ่ายวานนี้เอง ฉันเห็นมันบินไปมาตามกิ่งก้านด้านล่างของต้นสนดำเก่าแก่นั่นนะ”

“มันคงสวยมากแน่ๆ ถ้าร้องได้เพราะมากอย่างนั้น....”

“โอ๊ะ อย่าไปคิดเช่นนั้น!” คนสวนตอบพร้อมกับยิ้ม “มันไม่ต่างจากนกตัวอื่นที่หนูรู้จักมากนักหรอก ก็เหมือนนกกระจอกแหละนะ แต่ตัวใหญ่กว่านิดหน่อย”

“แต่มันจะร้องเพราะได้อย่างไรคะ ถ้าไม่มีสีสันสดใสและหงอนบนหัวน่ะค่ะ” เธอถามอย่างอยากรู้ความจริง

“เพราะว่าชีวิตต้องให้สาระที่ดีที่สุดซ่อนไว้ในรูปแบบที่ธรรมดาที่สุด”

เด็กหญิงมองเขาด้วยสายตาสงสัย ขณะรอคำตอบที่เด็กเยาว์วัยอย่างเธอจะสามารถเข้าใจได้

“โอ๊ะ ขอโทษนะ!” คนสวนพูดอย่างนึกขึ้นได้ “ดูดอกกุหลาบ ดอกลาเวนเดอร์ ดอกมะลิสิ... หนูจะพบความงามและกลิ่นหอมมากกว่านี้จากที่ไหนได้อีก ถ้าชีวิตต้องการให้ดอกไม้เหล่านี้โดดเด่นมากกว่านี้ ก็คงจะให้มันผลิบานบนต้นไม้ที่มีต้นสูงใหญ่ ที่จะมองเห็นได้แต่ไกล ทว่ามันผลิบานบนไม้พุ่มต่ำต้อยที่มีต้นเล็กๆ และอยู่สูงเพียงระดับสายตาและมือของเราเท่านั้น

“ดูผึ้งสิ ตัวเล็กและต่ำต้อยเมื่อเทียบกับนกอินทรีที่สง่างาม แต่กระนั้นก็ไม่มีอะไรมาทัดเทียมกับความหอมหวานของน้ำผึ้งได้ ชีวิตได้ซ่อนความงามแห่งวิญญาณของมันไว้ในสิ่งเล็กๆ สิ่งต่ำต้อยและสิ่งธรรมดา”

เด็กหญิงผงกศีรษะให้คนสวนรู้ว่าเธอเริ่มเข้าใจ

“หนูตัวเล็ก” เธอพูด “ลุงหมายความว่าหนูก็เหมือนกับนกไนติงเกลใช่ไหมคะ”

“ใช่” คนวสนตอบ “เหมือนกับนกไนติงเกล เหมือนกับดอกกุหลาบ เหมือนกับดอกมะลิและผึ้ง...”

“แล้วเมื่อหนูแก่ตัวจะเป็นอย่างไรคะ”

“เมื่อหนูแก่ตัวขึ้น หนูก็ยังมีความงามแห่งจิตวิญญาณของชีวิตอยู่มนตัวหนู เพราะมันยังได้ซ่อนแก่นของจักรวาลไว้ในร่างอันต่ำต้อยและธรรมดาของมนุษย์อีกด้วย

“ความดีงามซ่อนอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน และไม่ทุกคนที่ขับขานบทเพลงของความรื่นรมย์ของตกออกมา มีเพียงบางคนเท่านั้น ที่เสาะหาค่ำคืนและความสงบของจิตใจเพื่อเปิดใจรับดนตรีแห่งสรวงสวรรค์ เช่นเดียวกับนกไนติงเกลในหมูนกทั้งหลาย”

“จริงๆแล้ว หนูไม่เข้าใจสิ่งที่ลุงพูดเลย” เด็กหญิงสารภาพ แล้วหลุบตาลง “แต่หนูว่าสิ่งที่หนูทำ คือทำตัวเล็กๆต่อไปใช่ไหมคะ”

คนสวนรู้สึกประทับใจกับความไร้เดียงสาของเด็กน้อยผู้เฉลียวฉลาด

“ใช่จ้ะ หนูต้องทำตัวเล็กๆ อยู่เสมอ...” เขาพูดด้วยเสียงกระซิบ “....และทำตัวธรรมดาๆ เหมือนกับนกไนติงเกล”





การล่า

ปลายฤดูร้อน แผ่นดินอบอ้าวไปทั่วแถบถิ่นนั้น ขณะที่ไอน้ำก่อตัวเป็นเมฆดำทะมึน ตั้งเค้าพายุฝนมาจากทางทิศตะวันออก


ในกระท่อม คนสวนกำลังวุ่นวายอยู่กับการไล่จับแมลง ที่มักจะรบกวนและเหนียวเหนอะหนะก่อนมีพายุฝน


ในขณะที่เก้ๆกังๆ นั้นเอง เพื่อนคนหนึ่งได้แวะมาและรู้สึกแปลกใจกับการไล่อย่างเอาเป็นเอาตายของเขา คิดว่าคนสวนกำลังทำเกินเลยขีดจำกัดที่ยอมรับได้สำหรับ “คนเพี้ยน” จึงถามเขาว่ากำลังทำอะไรอยู่


“จะให้มันไปอยู่นอกกระท่อมน่ะ” เขาตอบโดยไม่ลดละการไล่ล่าเหยื่อที่บินหนีรวดเร็ว


ผู้เป็นเพื่อนแสดงท่าทางไม่เข้าใจ


“แต่ทำไมไม่ฆ่ามันเสียล่ะ” เขาถามคนสวน “คุณจะแก้ปัญหาได้เร็วกว่านะ!”


คนสวนหยุดครู่หนึ่ง แย้มยิ้ม แล้วตอบว่า


“ก็เพราะ... มันยังไม่ถึงที่ตายน่ะสิ”


ผู้เป็นเพื่อนยิ่งคิดหนักว่าคนสวนเป็นบ้าไปแล้ว


“แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่ามันถึงที่ตายแล้วหรือยัง” เขาถามอย่างหมดอดทน


และคนสวนตอบเขาอย่างสงบ ราวกับว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่สุดในโลก


“ง่ายมาก ถ้าผมหลีกเลี่ยงการทำให้มันตายได้ มันก็ยังไม่ถึงที่ตาย”


และเขาไล่แมลงต่อไป


ความรักของแม่

คนสวนกำลังเดินจ้ำอ้าวไปยังกระท่อม เขาอุ่นอาหารทิ้งไว้บนเตาในบ้านนานกว่าชั่วโมงแล้ว และกลัวว่า

ความหลงลืมของเขาอาจจะนำมาซึ่งความเดือดร้อน

ขณะเดินผ่านก้อนหินเล็กๆ ที่กองอยู่ข้างกระท่อม เขาก็สะดุดล้มคว่ำเหยียดยาวไปกับพื้น

เขายันร่างกายที่ขัดยอกขึ้นด้วยข้อศอก ใบหน้าเปื้อนฝุ่น แล้วพูดขึ้นว่า

“แม่พระธรณีจ๋า แม่ช่างรักลูกเหลือเกิน พอเห็นเท้าลูกลอยอยู่ในอากาศ แม่ก็วิ่งเขามากอดลูกไว้”

The Gardener : Grain

Gardener

คู่รัก


ชายหนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งแต่งงานมาได้สองสามปีแล้ว กำลังคร่ำครวญกับคนสวนถึงความยากลำบากในชีวิตสมรสของเขา

ในตอนเริ่มต้น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ปีแรกของการแต่งงาน ทั้งคู่ต่างให้ความรักและความหวานชื่นที่เคยแบ่งปันกันและกันระหว่างการเกี้ยวพา แต่ด้วยเหตุผลใดไม่ปรากฏ ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองในภายหลังได้แปรเปลี่ยนจากที่เคยห่วงอาทรไปเป็นความหมางเมินเหินห่าง

“มีบางครั้ง ผมคิดว่าผมเกลียดเธอ” ชายหนุ่มพูดกับคนสวน “และผมคิดว่าเธอก็เกลียดผมเช่นกัน”

“ความรักจะเปลี่ยนไปเป็นความเกลียดได้อย่างไร” คนสวนถาม

ชายหนุ่มยังคงเงียบ

“คุณเคยคิดไหมว่าความรักที่คุณรู้สึกนั้นไม่ใช่รักแท้และบริสุทธิ์ แต่เป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากความชอบพอและตอบสนองกันและกันเท่านั้น” เขาถามขึ้นอีก

ชายหนุ่มก้มหน้ามองพื้น

“ตอนนี้ผมไม่ทราบจริงๆ ครับ”

ชายทั้งสองเดินไปตามทางเดินที่เรียงรายด้วยต้นมะนาว ย่ำเท้าบนพรมใบไม้สีแดง ซึ่งส่งเสียงกรอบแกรบคลอการสนทนาอันแผ่วเบา คนสวนเพียรถามอีกว่า

“คุณแสวงหาอะไรล่ะ ถึงได้แต่งงานกับเธอ”

“ผมแสวงหาความสุข” ชายหนุ่มพูดอย่างหนักแน่น “และผมคิดว่าผมจะได้พบเมื่อใช้ชีวิตคู่กับเธอ”

“นั่นเป็นความผิดของคุณทีเดียว” คนสวนเอ่ยขึ้นช้าๆ “ในระหว่างที่คุณมั่นหมายกันต่างเห็นดีเห็นงามตามกัน” และมองแต่ด้านดีของกันและกัน ต่างคนต่างคิดว่าอีกฝ่ายมีข้อดีมากมายซึ่งจะทำให้อีกฝ่ายมีความสุขไปจนชั่วชีวิต คุณไม่อยากเผชิญกับความจริงว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าคุณนั้น ไม่ได้มีแต่ข้อดี ยังมีข้อเสียด้วย แต่คุณไม่อยากเห็นด้านมืดนั้น

“และเมื่อได้อยู่ร่วมกัน เวลาผ่านไป ด้านมืดก็ปรากฏ และตอนนี้คุณมาอยู่อีกด้านหนึ่งที่เห็นแต่ข้อบกพร่องของกันและกัน ไม่เห็นข้อดีอีกต่อไป

“ใช่ บางครั้งเราก็เป็นเช่นนั้น” ชายหนุ่มตอบอย่างหมดอาลัยตายอยาก

“ความผิดพลาดของแต่ละคนเกิดขึ้นเพราะต่างก็แสวงหาความสุขจากภายนอก ไม่ใช่ความสุขในหัวใจตัวเอง” คนสวนพูดต่อไป “ถ้าคุณแสวงหาความสุขด้วยความรักที่เต็มเปี่ยมหัวใจแล้ว ความรักของคุณก็จะไม่ขึ้นอยู่กับข้อดีหรือข้อเสีย แต่จะงอกงามด้วยความเข้าใจและยอมรับข้อบกพร่องที่คู่ของคุณมี เช่นเดียวกับมนุษย์ปุถุชนทั้งหลาย”

“และดังนั้น คุณอาจจะเปลี่ยนแปลงกันและกันได้ ไม่ใช่จากการเรียกร้องหรือตำหนิติเตียน แต่จากความรักที่หนักแน่นมั่นคงในหัวใจของคุณ”

ชายหนุ่มเริ่มเห็นว่าบางทียังมีความหวังเหลืออยู่ในสถานการณ์ของเขา

“แล้ว” เขาพูด “ตอนนี้ผมต้องทำอย่างไร”

“จงแสวงหาความสุขในตัวคุณเอง และอย่าหวังว่าเธอจะเป็นผู้ให้ เพราะคุณไม่อาจร้องขอจากผู้ใดในสิ่งที่คุณต้องเสาะหามาเอง จงแสวงหาความรักที่คุณเคยรู้สึกในหัวใจ และหาความสุขจากความรักในหัวใจของคุณเท่านั้น ไม่ใช่จากความรักของเธอที่มีต่อคุณ และซัมซับกับทุกๆอณูของชีวิต ไม่ว่าจะสุขสงบหรือทุกข์เศร้า เพราะในการยอมรับชีวิตทั้งหมด ทั้งในวันที่งดงามและในคืนที่มืดมน เราจะได้พบกับความสุขอันยั่งยืน ซึ่งจะอยู่ในที่ปลอดภัยจากพายุและลมฟ้าอากาศอันแปรปรวน”

“สิ่งที่คุณพูดมาน่ะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับยิ้มเศร้า

คนสวนหยุดและมองเค้าอย่างอ่อนโยน

“ใช่ ไม่ง่าย” เขาตอบเรียบๆ “และคุณต้องกล้าหาญเช่นนักรบเพื่อฟันฝ่าหาชัยชนะในสมรภูมิแห่งชีวิต”





ความสุข


“หนูต้องทำอย่างไรคะ ถึงจะได้พบกับความสุข” เด็กหญิงผู้สะสวยตั้งคำถาม

คนสวนหัวเราะอย่างเอ็นดู

“อย่าแสวงหามัน”

เด็กหญิงงงงวย

“ทำไมลุงถึงพูดอย่างนั้น” เธอถาม รู้สึกรำคาญเสียงหัวเราะของเขาอยู่บ้าง “ใครๆก็แสวงหาความสุข...”

“และน้อยคนที่ได้พบ....” คนสวนพูดขัดจังหวะและยังคงหัวเราะอยู่

เด็กหญิงทำฮึดฮัด แต่ไม่มีผลใดๆ นอกจากเพิ่มความขบขันแก่คนสวน

“ฟังนะ...” คนสวนพูดต่อเพื่อให้เธอใจเย็น “มนุษย์แสวงหาความสุขกันทุกคน บางคนหาจากคนที่เขารัก บางคนจากการสะสมเงินทองและของมีค่า บางคนจากความฝัน... มนุษย์ตามหาความฝันตลอดชีวิต และเมื่อสมปรารถนา เขาก็ได้พบความสุข ซึ่งเขาเชื่อว่าจะคงอยู่ตลอดไป ทว่าอีกไม่นานต่อมา ความซ้ำซากและความผิดหวังก็หวนกลับมา และทุกคนก็ออกค้นหาความฝันใหม่ จนกระทั่งได้พบ ครั้นแล้ว ฝันก็สลายไปอีก และเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ”

“ลุงหมายความว่าการจะพบความสุขอันยั่งยืนนั้นเป็นไปไมได้หรือคะ” เด็กหญิงถามเขาอีก

“เปล่า ลุงไม่ได้หมายความเช่นนั้น!”

“แล้วเราจะพบความสุขที่ยั่งยืนได้อย่างไรล่ะ” เด็กหญิงยืนกราน ร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด

คนสวนทำมือทำไม้ให้เธอสงบลง

“ไม่พบหรอก” เขาตอบ “หนูจะไม่ได้พบกับสิ่งที่อยู่ในตัวหนูตลอดมาหรอกจ้ะ”

“ลุงคนสวน ลุงกำลังทำให้หนูสับสนนะ ถ้าหนูมีอยู่แล้ว ทำไมหนูถึงไม่รู้สึกล่ะ”

“หนูคงเคยสังเกตดอกไม้ที่หนูเสียบผมไว้บ้างแหละนะ” คนสวนถาม

“ค่ะ ตอนที่หนูคิดเรื่องดอกไม้น่ะค่ะ” เด็กหญิงตอบ พลางยกมือขึ้นจับดอกไม้

“หนูไม่เคยตระหนักเลยหรือว่าหนูมีความสุขแค่ไหนเมื่อนึกถึงอดีตน่ะ”

“เคย...ค่ะ...” เธอพูดตะกุกตะกัก “แต่...”

“เอาละ ลองนึกถึงความสุขที่หนูรู้สึกตอนนี้สิ” คนสวนขัดจังหวะ “ทุกคนเป็นเหมือนคนที่ใช้เวลาหาแว่นตาทั้งวัน แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตนสวมอยู่ตลอดเวลา”

“เรามีความสุขอยู่เสมอ แต่เราตระหนักได้ก็ต่อเมื่อเวลาล่วงเลยไป และความห่างไกลทำให้เราเห็นสิ่งที่ได้ประสบทั้งหมด”

“ความสุขอยู่ในตัวหนูเสมอนะ มันไม่เคยหายไปไหนหรอก แม้แต่ตอนที่ชีวิตเจ็บปวดและระทมทุกข์ หนูเพียงแต่มองไม่เห็นมันเอง เพราะหนูมัวแต่หาความสุข เพื่อหนีไปจากความทุกข์ หนูถึงไม่ได้เห็นมัน”

“จงใส่ใจกับชีวิต กับสิ่งที่อยู่รอบๆตัวหนู กับสิ่งที่หนูกำลังรู้สึก... แล้วหนูจะได้พบว่าหนูมีความสุขอยู่แล้ว ในชั่วขณะนั้น ความสุขเป็นส่วนหนึ่งของหนู เพราะความสุขเป็นเหมือนทุ่งหญ้าเขียวขจี ที่ชีวิตเริงระบำแห่งชีวิตและความตาย แห่งความรักและความโดดเดี่ยว”

และเขาลูบแก้มเด็กหญิง พลางพูดอย่างอ่อนโยน

“อย่าค้นหาความสุข ถ้าหนูต้องการค้นหาอะไรสักอย่างแล้วละก็ จงค้นหาชีวิตนั่นแหละ”





นางฟ้าแสนเศร้า


คืนหนึ่งในกลางฤดูร้อน อากาศอบอ้าว แม้แต่สายลมก็ไม่สมารถคลายร้อนจากแผ่นดินด้วยหยาดน้ำค้าง คนสวนออกจากระท่อมไปอาบน้ำ ตอนนี้เป็นเวลาใกล้รุ่งแล้ว และหลัจากพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียงเพื่อนอนต่อ แต่ไม่สำเร็จ คนสวนจึงตัดสินใจลุกขึ้นไปอาบน้ำในสระ

ระหว่างทาง เข้าผ่านพริมโรสพุ่มใหญ่และเห็นนางฟ้าบนดอกไม้โดยไม่คาดฝัน

คนสวนหยุดมองนางฟ้า แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่เห็นการมาของเขา เธอนั่งเท้าคาง วางศอกอยู่บนเข่า ท่าทางซึมเศร้าเหมือนเด็กเล็กๆ

“สวัสดี เจ้าตัวเล็ก” คนสนทักขึ้น นางฟ้าสะดุ้งตกจากดอกไม้ หายไปในพุ่มไม้หนา

“ฉันเสียใจนะ ที่ทำให้เธอพลักตกน่ะ” คนสวนเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นนางฟ้าปรากฏตัวท่ามกลางใบไม้อีกครั้ง

“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ คนสวน” นางฟ้าบอก “มันเป็นความผิดของฉันเองที่ไม่เห็นการมาของท่าน”

และเธอนั่งลงบนดอกไม้ดอกเดิมอีกครั้ง ในท่าเดิมที่คนสวนได้เห็น

“เป็นอะไรไปหรือ” เขาถาม “เธอดูซึมเศร้าเหงาหงอยนะ”

นางฟ้ามองคนสวนราวกับเขาออกมาจากความฝัน และสักพักก็ตอบว่า

“ก็...เอ่อ...มัน...ฉันไม่อยากเป็นนางฟ้า”

“ทำไมล่ะ” คนสวนถามอย่างแปลกใจ

“ก็เพราะฉันอยากจะฉลาดเหมือนผีแคระ หรือเก่งเหมือนท่านที่เป็นมนุษย์น่ะสิ”

คนสวนใคร่ครวญคำตอบของนางฟ้าครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น

“ความเก่งก็ดีสำหรับบางสิ่งบางอย่าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด”

“ทำไมจะไม่ใช่ ความเก่งน่ะสำคัญมากสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต...”“ไม่ ไม่ ไม่!” คนสวนขัดขึ้น “สิ่งสำคัญที่สุดน่ะ ไม่ใช่ความเก่ง แต่เป็นความฉลาด”

“ฉันไม่เข้าใจ” นางฟ้าพูดพลางส่ายหน้าไปมา

คนสวนนั่งลงบนพื้นตรงหน้านางฟ้า

“ต้นโอ๊กไม่เก่ง แต่ก็ฉลาดนะ เพราะมันสามารถสร้างเมล็ดพันธุ์ที่เต็มไปด้วยชีวิต แม้แต่มนุษย์ที่เก่งที่สุดก็ทำไม่ได้”

“นกอินทรีไม่ได้เก่ง แต่ก็มีปัญญา ขณะเลี้ยงดูลูก มันรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร ลูกนกถึงเติบโตขึ้นมาแข็งแรงและเป็นนกทีสง่างาม ทว่า มีคนมากมายที่เก่งแต่ไม่ฉลาด เขาพัวพันกับความแค้นและสงคราม และใช้ความเก่งของตนหาทางทำลายและทำร้ายคนอื่น"

“อย่าเอาความเก่งไปปะปนกับความฉลาด และอย่าขอให้สิ่งอื่นใดปฏิบัติภารกิจที่ชีวิตมอบหมายแก่เธอโดยไม่จำเป็น ชีวิตมอบสิ่งที่จำเป็นสำหรับเราแล้ว เพื่อจะได้ทำสิ่งที่ต้องทำ และชีวิตให้ภูมิปัญญาตามธรรมชาติของตัวเองแก่เราแล้ว เพื่อว่าเราจะได้ทำในสิ่งที่จำเป็น ในเวลาที่เหมาะสม โดยมิต้องออกแรงพยายาม”

“ฉันคิดว่าฉันเข้าใจที่ท่านพูด”

คนสวนเบาเสียงลง และด้วยความอ่อนโยนอย่างที่สุด เขาพูดกับนางฟ้าว่า

“อย่าปรารถนาเป็นอะไรอื่นนอกจากที่เธอเป็นอยู่ เป็นนางฟ้าที่งดงามและละเอียดอ่อน เพราะด้วยความงามของเธอ เธอยังให้แมกไม้เต็มไปด้วยมนต์สเน่ห์และความร่มเย็น และด้วยภูมิปัญญาของเธอ เธอหว่านโปรยสีสันของดอกไม้และกลิ่นหอมของพืชพรรณไปทั่วดินแดน

“มนุษย์จะเป็นอย่างไรหากปราศจากความงดงามจากงานของเธอ เราต้องการความเก่งไปเพื่ออะไรเล่า ถ้าเราไม่สามารถยังกลิ่นหอมแก่ดอกไม้ หรือความมหัศจรรย์แก่พงไพร”

และนางฟ้ากระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริง โผบินไปหาคนสวน แล้วจุมพิตที่ปลายจมูกของเขา ก่อนลับหายไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางกิ่งก้านของต้นซีดาร์ในบริเวณนั้น

วันถัดมา อีกครั้งหนึ่ง ชาวบ้านใกล้เคียงพากันแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนจมูกของคนสวน ซึ่งส่องประกายสีทองแวววาว





มงคล

เมฆดำทะมึนกำลังเคลื่อนออกไปจากแผ่นดิน และดวงอาทิตย์กลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง ผ่านรอยแยกของเมฆมืดดำ

ครั้นแล้ว แสงตะวันก็ทาบทาทางเดินลาดชันที่คนสวนกำลังย่ำเท้าไป พลางสูดไอดินอันหอมกรุ่น และเห็นหอยทากเล็กๆตัวหนึ่งคืบคลานไปตามกอไม้ใบหญ้า

คนสวนหยุดเดิน และเฝ้าดูหอยทากอยู่เนิ่นนาน แล้วรำพึงขึ้นว่า

“ความช้าเป็นมงคล เพราะเขาจะไม่พลาดรายละเอียดชีวิต แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุด”

จากหนังสือ The Gardener : Grain

วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Gardener

คำสวดของพระเจ้า


ไม่น่าแปลกใจอย่างใดเลย เมื่อเพื่อนบ้านคิดกันว่าคนสวนค่อนข้างแปลก
บ่อยครั้ง เพื่อนบ้านเห็นคนสวนพูดกับต้นไม้ ลูบไล้ต้นไม้ และปฏิบัติกับต้นไม้ด้วยความรักอย่างยิ่ง และเขาก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากมันในรูปของเงินทองหรือความสำเร็จ และคนกลุ่มนี้ก็คิดว่านี่เป็นเรื่องแปลกประหลาดอย่างมาก

“ทำไมคุณต้องลูบไล้ต้นไม้และพูดกับต้นไม้ ในเมื่อต้นไม้ไม่สามารถรับรู้การสัมผัสหรือได้ยินคุณพูด” เพื่อนบ้านถามเขาในที่สุด

“แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าต้นไม้ไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกหรือได้ยินผมพูด” คนสวนตอบ

ผู้ถามงงงวย

“เอ้อ...ก็ทุกคนรู้ว่าต้นไม้ไม่สามารถจะ...”

“มนุษย์ส่วนมากทั้งไม่ได้รับรู้หรือได้ยินพระเจ้าตรัส” คนสวนได้ขัดขึ้นมา “แต่พระเจ้าก็ยังคงพูดและดูแลมนุษย์ แม้มนุษย์จะไม่ได้ยินพระองค์”

เพื่อนบ้านยิ่งรู้สึกสับสนมากขึ้น และรู้สึกรำคาญอยู่บ้าง เค้าถามอีกว่า

“แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้ามีอยู่จริง ฉันไม่เคยเห็นหรือได้ยินเสียงพระองค์เลย อีกทั้งฉันรับรู้ไม่ได้เลยว่าพระเจ้าได้ดูแลฉันอย่างที่คุณพูดน่ะ”

คนสวนก้มศีรษะอย่างเศร้าสร้อยและเงียบ เพื่อนบ้านคิดว่าเค้าไม่สามารถจะตอบคำถามได้อีก คนสวนมองเพื่อนบ้านด้วยสายตาอ่อนโยน และพูดว่า

“ถ้าคุณเคยหยุดและฟังในยามค่ำคืนที่ดวงเดือนแจ่มกระจ่าง คุณจะได้ตระหนักว่าจิ้งหรีดร้องเพลงก็ต่อเมื่อมันเงียบเสียง เป็นความเงียบที่เตือนคุณถึงการดำรงอยู่ของชีวิตที่ซ้อนเร้นอยู่ พระเจ้าไม่เคยหยุดร้องเพลง พระองค์ไม่เคยหยุดพูดกับเราหรือหยุดดูแลเรา และด้วยเหตุนี้ล่ะ มนุษย์ส่วนมากจึงมิได้เห็นความรักของพระเจ้า”

“ถ้าพระเจ้าหยุดร้องเพลง และแม้ว่าคุณจะได้ตระหนักในวินาทีถัดไปว่าพระเจ้าอยู่ที่นั่น มันก็สายเกินไป”

และเขาก็ยิ้ม พูดเสริมว่า

“แต่ไม่ต้องกังวล พระเจ้าไม่เคยหยุดร้องเพลง”

“ถ้าอย่างนั้น คุณก็ไม่สามารถทำให้เราเชื่อได้ว่าพระเจ้ามีอยู่จริง” เพื่อนบ้านตอบพร้อมกับยิ้มอย่างผู้ชนะ

คนสวนหัวเราะและวางมือบนไหล่เพื่อนบ้าน พลางบอกว่า

“ก็เหมือนกับจิ้งหรีด...ถ้าคุณสามารถค้นพบความสงบภายใน ความเงียบนั้นจะยังคุณให้ได้ยินคำสวดของพระเจ้า”





ดอกไม้ที่สวยที่สุด



“หนูดูเศร้าและครุ่นคิดนะ” คนสวนพูดกับเด็กหญิงผู้เงียบเหงา

เด็กหญิงเงยหน้ามองดูเขาด้วยสายตาแห้งแล้งปราศจากชีวิตชีวา แล้วก้มหน้าลงอีกโดยไม่พูดอะไร

“วันนี้เกิดอะไรขึ้นถึงทำให้หนูเศร้าหมองเช่นนี้ ทุกวันเมื่อหนูมาที่สวนของฉัน ตอนบ่ายแก่ๆ หนูจะกลายเป็นดอกไม้สวยงามและหอมหวานที่สุด...”

“หนูไม่ใช่ดอกไม้ที่สวยที่สุด” เด็กหญิงพูดขัด

คนสวนเงียบไป

“วันนี้หนูเห็นตัวเองในกระจกบึง” เด็กหญิงพูดต่อโดยไม่เงยหน้า “ในที่สุดหนูก็โตเป็นผู้ใหญ่ แต่หนูไม่สวยอย่างที่นึกไว้”

คนสวยเริ่มเข้าใจ

“ทุกคนพูดว่ากุหลาบเป็นดอกไม้ที่สวยที่สุด และที่จริงมันก็เป็นเช่นนั้น!”

คนสวนยืนยัน ขณะเด็กหญิงหันหน้ามามอง “แต่ฉันก็ชอบดอกเวอร์บีน่าเล็กๆ ที่ขึ้นอยู่ตามใต้ต้นกุหลาบ และฉันก็เพลิดเพลินเมื่อได้ดูดอกแพนซี่โอนเอน และดอกทิวลิปที่ชูก้านยาวและหุบกลีบดอกของมันไว้ และมีความสุขกับการมองทุ่งดอกเดซี่พลิ้วไหวใต้แสงตะวัน”

“คนสวนคะ ลุงหมายความว่า ดอกเวอร์บีน่าสวยมากว่าดอกกุหลาบหรือคะ”

คนสวนมองไปบนท้องฟ้ายามเย็น

“ฉันหมายความว่า ความงามไม่ได้อยู่ในดอกไม้ดอกนั้นหรือดอกนี้มากไปกว่าที่มันปรากฏอยู่ที่นี่หรือที่นั่นหรอกจ้ะ ความงามอยู่ในสายตาที่มองเห็น ถ้าเรามองดูด้วยความตั้งใจพอ เราก็จะมองเห็นเทพธิดาแห่งความงามทุกหาทุกแห่ง เพราะความงามนั้นเปล่งประกายในทุกๆสิ่งที่ดำรงอยู่”

“ถ้าหนูยังปรารถนาที่จะสวยงามขึ้น และต้องการเป็นเทพธิดาแห่งความงามบนโลกแล้ว จงมองไปบนท้องฟ้าและพิจารณาเมฆก้อนใหญ่ที่ล่องลอยในเวิ้งฟ้าสีน้ำเงินอย่างสง่างาม มองดูเมฆกลมๆที่สุกสกาวราวปุยฝ้ายเหล่านั้นสิ ความงามของมันเปล่งประกายอย่างยิ่ง เมื่อลอยผ่านเมฆก้อนอื่นๆที่ถูกลมพัดทะลุเป็นช่องให้แสงตะวันส่องลอดลงมา”

คนสวนหยุดพูด แล้วนิ่งมองเด็กหญิงที่กำลังเฝ้าดูก้อนเมฆ

“ปล่อยให้แสงสว่างจากจิตวิญญาณเปล่งประกายผ่านผิวอันบอบบางของหนูและโลกทั้งโลกจะเห็นความงามอันเจิดจรัสที่สุดของหนูเปล่งประกายออกมาจากภายใน”





การเปลี่ยนแปลง


ชายหนุ่มผู้มีความคิดดีมากคนหนึ่ง ซึ่งมักนะมาขอคำแนะนำจากคนสวนเสมอๆ ได้แวะมาที่กระท่อมของเขาในคืนฝนตกและหนาวเย็นคืนหนึ่ง

ราวกับกำลังรอคอยการมาเยือนของเขา เมื่อชายหนุ่มเปิดประตู คนสวนก็กวักมือเรียกเข้ามาในกระท่อม คนสวนได้ช่วยชายหนุ่มถอดเสื้อคลุมที่เปียกปอนออกและเชื้อเชิญให้เขานั่งหน้าเตาผิง

เมื่อชายหนุ่มรู้สึกว่ามือเริ่มรู้สึกอุ่นขึ้นมาบ้าง เขาเริ่มต้นถามว่า “เพื่อนของผม ผมรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ผมทิ้งวัยเด็กไว้ข้างหลังและเริ่มคิดแบบผู้ใหญ่ ผมสังเกตโลกรอบๆตัวผม และผมได้พบสิ่งดีๆและคุณค่าในตัวมนุษย์และธรรมชาติ แต่เมื่อได้พบเห็นสิ่งที่ทำร้ายจิตใจของผม ผมก็เศร้าใจ ผมได้เห็นว่าในโลกนี้มีความอยุติธรรมและขาดความเอื้ออาทร ผมได้เห็นสายตาสิ้นหวังของคนยากไร้และคนป่วย ผมได้เห็นกรงเล็บของความละโมบเกาะกุมหัวใจของมนุษย์และหมอกควันแห่งความเกลียดชังบดบังเหตุผลและความถูกต้องในหมู่พี่น้อง และทุกครั้งที่ผมพบเห็นสิ่งเหล่านี้ หัวใจอันสับสนของผมก็ร้องไห้ออกมา และจิตวิญญาณของผมก็กู่ก้องไปยังสรวงสวรรค์ เพรียกหาทางแก้ไขความทุกข์เข็ญ และผมคิดว่าผมอยากจะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ เพื่อทุกคนจะได้อยู่ร่วมกันอย่างปรองดองและมีความสุข แต่ว่าคนคนเดียวจะต่อสู้กับความทุกข์เศร้าและความพินาศนี้ได้อย่างไรเล่า”

ชายหนุ่มเงียบลงและซบหน้ากับฝ่ามือ

“คุณสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้” คนสวนพูดขึ้นด้วยน้ำสียงนุ่มนวล

“คนคนเดียวจะเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างไรกัน” ชายหนุ่มถาม

“โดยการเปลี่ยนแปลงตัวเราเอง” เป็นคำตอบของคนสวน

“ผมไม่เข้าใจ ถ้าคนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลง แล้วมนุษยชาติจะเปลี่ยนไปได้อย่างไร”

“มนุษย์แต่ละคนคือเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด มนุษย์ฝันจะมุ่งไปสู่ส่วนลึกอันสุกสว่างของจักรวาล” คนสวนกล่าวและจ้องมองไฟ “เมื่อมนุษย์อยู่กับห้วงแสงนั้น มนุษย์จะได้รับประกายแห่งความดีงามของเขา”

“ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดีครับ” ชายหนุ่มตอบซื่อๆ

“คุณไม่จำเป็นต้องเข้าใจหรอก นกไม่เข้าใจกลไกการบินของมันเอง แต่ก็ยังบินได้ มันเป็นธรรมชาติของนกที่จะบิน เช่นเดียวกัน มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะได้รับความรัก”

ไฟปะทุเปรี๊ยะ ปร๊ะ เมื่อคนสวนพูดจบประโยค และคนทั้งสองเงียบไปชั่วขณะ ต่างจับจ้องเปลวไฟที่วูบไหวอยู่ในเตาผิง

ชายหนุ่มจ้องมองคนสวน แล้วหันไปมองเปลวไปอีกครั้ง ในที่สุดก็ตัดสินใจถามขึ้นว่า

“และผมต้องทำอย่างไรเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง”

“ต้องไม่พยายาม” คนสวนตอบพร้อมกับยิ้ม

ชายหนุ่มแสดงสีหน้าประหลาดใจและนิ่งอึ้ง

“ถ้าคุณไม่พยายาม คุณก็จะไม่รู้สึกกดดัน” คนสวนอธิบายต่อ “เราต้องปรารถนาความเปลี่ยนแปลงภายในตัวเราเท่านั้น และเปิดกว้างความเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดขึ้นในตัวเรา แต่ถ้าคุณพยายามจะทำให้มันเกิดขึ้น ความขัดแย้งจะเริ่มเกิดขึ้นในใจของคุณ ซึ่งจะทิ้งรอยแผลและความเจ็บปวดไว้ให้ คุณเพียงแต่เปิดใจกว้างและปล่อยให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสมของชีวิต”

“ไม่มีใครสาธิตการบินแก่นก ไม่มีใครสอนปลาให้ว่ายน้ำ เมื่อถึงเวลานกก็โผสู่ฟากฟ้าและปลาก็สู่น่านน้ำ และจากนั้นก็เป็นไปตามธรรมชาติของมันเอง”

“ความรักดำรงอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์ ความรักซึ่งกว้างใหญ่ดุจมหาสมุทร ความรักซึ่งครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง มนุษย์เพียงแต่ปล่อยตัวเองไปตามกระแสของชีวิตด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง และจากนั้นก็จะเป็นไปตามธรรมชาติของเขาเอง

“ความรักเท่านั้นที่จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในจิตวิญญาณของคุณ และความรักนั้นจะนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่โลก”

และดื่มดำอยู่ในความคิด คนสวนจบการสนทนาด้วยการพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า

“เมื่อมนุษยชาติค้นพบความรักที่แท้ จักรวาลทั้งจักรวาลจะสั่นสะเทือนด้วยความงามของรักนั้น”



จากหนังสือ The Gardener : Grain