วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Gardener

คำสวดของพระเจ้า


ไม่น่าแปลกใจอย่างใดเลย เมื่อเพื่อนบ้านคิดกันว่าคนสวนค่อนข้างแปลก
บ่อยครั้ง เพื่อนบ้านเห็นคนสวนพูดกับต้นไม้ ลูบไล้ต้นไม้ และปฏิบัติกับต้นไม้ด้วยความรักอย่างยิ่ง และเขาก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากมันในรูปของเงินทองหรือความสำเร็จ และคนกลุ่มนี้ก็คิดว่านี่เป็นเรื่องแปลกประหลาดอย่างมาก

“ทำไมคุณต้องลูบไล้ต้นไม้และพูดกับต้นไม้ ในเมื่อต้นไม้ไม่สามารถรับรู้การสัมผัสหรือได้ยินคุณพูด” เพื่อนบ้านถามเขาในที่สุด

“แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าต้นไม้ไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกหรือได้ยินผมพูด” คนสวนตอบ

ผู้ถามงงงวย

“เอ้อ...ก็ทุกคนรู้ว่าต้นไม้ไม่สามารถจะ...”

“มนุษย์ส่วนมากทั้งไม่ได้รับรู้หรือได้ยินพระเจ้าตรัส” คนสวนได้ขัดขึ้นมา “แต่พระเจ้าก็ยังคงพูดและดูแลมนุษย์ แม้มนุษย์จะไม่ได้ยินพระองค์”

เพื่อนบ้านยิ่งรู้สึกสับสนมากขึ้น และรู้สึกรำคาญอยู่บ้าง เค้าถามอีกว่า

“แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้ามีอยู่จริง ฉันไม่เคยเห็นหรือได้ยินเสียงพระองค์เลย อีกทั้งฉันรับรู้ไม่ได้เลยว่าพระเจ้าได้ดูแลฉันอย่างที่คุณพูดน่ะ”

คนสวนก้มศีรษะอย่างเศร้าสร้อยและเงียบ เพื่อนบ้านคิดว่าเค้าไม่สามารถจะตอบคำถามได้อีก คนสวนมองเพื่อนบ้านด้วยสายตาอ่อนโยน และพูดว่า

“ถ้าคุณเคยหยุดและฟังในยามค่ำคืนที่ดวงเดือนแจ่มกระจ่าง คุณจะได้ตระหนักว่าจิ้งหรีดร้องเพลงก็ต่อเมื่อมันเงียบเสียง เป็นความเงียบที่เตือนคุณถึงการดำรงอยู่ของชีวิตที่ซ้อนเร้นอยู่ พระเจ้าไม่เคยหยุดร้องเพลง พระองค์ไม่เคยหยุดพูดกับเราหรือหยุดดูแลเรา และด้วยเหตุนี้ล่ะ มนุษย์ส่วนมากจึงมิได้เห็นความรักของพระเจ้า”

“ถ้าพระเจ้าหยุดร้องเพลง และแม้ว่าคุณจะได้ตระหนักในวินาทีถัดไปว่าพระเจ้าอยู่ที่นั่น มันก็สายเกินไป”

และเขาก็ยิ้ม พูดเสริมว่า

“แต่ไม่ต้องกังวล พระเจ้าไม่เคยหยุดร้องเพลง”

“ถ้าอย่างนั้น คุณก็ไม่สามารถทำให้เราเชื่อได้ว่าพระเจ้ามีอยู่จริง” เพื่อนบ้านตอบพร้อมกับยิ้มอย่างผู้ชนะ

คนสวนหัวเราะและวางมือบนไหล่เพื่อนบ้าน พลางบอกว่า

“ก็เหมือนกับจิ้งหรีด...ถ้าคุณสามารถค้นพบความสงบภายใน ความเงียบนั้นจะยังคุณให้ได้ยินคำสวดของพระเจ้า”





ดอกไม้ที่สวยที่สุด



“หนูดูเศร้าและครุ่นคิดนะ” คนสวนพูดกับเด็กหญิงผู้เงียบเหงา

เด็กหญิงเงยหน้ามองดูเขาด้วยสายตาแห้งแล้งปราศจากชีวิตชีวา แล้วก้มหน้าลงอีกโดยไม่พูดอะไร

“วันนี้เกิดอะไรขึ้นถึงทำให้หนูเศร้าหมองเช่นนี้ ทุกวันเมื่อหนูมาที่สวนของฉัน ตอนบ่ายแก่ๆ หนูจะกลายเป็นดอกไม้สวยงามและหอมหวานที่สุด...”

“หนูไม่ใช่ดอกไม้ที่สวยที่สุด” เด็กหญิงพูดขัด

คนสวนเงียบไป

“วันนี้หนูเห็นตัวเองในกระจกบึง” เด็กหญิงพูดต่อโดยไม่เงยหน้า “ในที่สุดหนูก็โตเป็นผู้ใหญ่ แต่หนูไม่สวยอย่างที่นึกไว้”

คนสวยเริ่มเข้าใจ

“ทุกคนพูดว่ากุหลาบเป็นดอกไม้ที่สวยที่สุด และที่จริงมันก็เป็นเช่นนั้น!”

คนสวนยืนยัน ขณะเด็กหญิงหันหน้ามามอง “แต่ฉันก็ชอบดอกเวอร์บีน่าเล็กๆ ที่ขึ้นอยู่ตามใต้ต้นกุหลาบ และฉันก็เพลิดเพลินเมื่อได้ดูดอกแพนซี่โอนเอน และดอกทิวลิปที่ชูก้านยาวและหุบกลีบดอกของมันไว้ และมีความสุขกับการมองทุ่งดอกเดซี่พลิ้วไหวใต้แสงตะวัน”

“คนสวนคะ ลุงหมายความว่า ดอกเวอร์บีน่าสวยมากว่าดอกกุหลาบหรือคะ”

คนสวนมองไปบนท้องฟ้ายามเย็น

“ฉันหมายความว่า ความงามไม่ได้อยู่ในดอกไม้ดอกนั้นหรือดอกนี้มากไปกว่าที่มันปรากฏอยู่ที่นี่หรือที่นั่นหรอกจ้ะ ความงามอยู่ในสายตาที่มองเห็น ถ้าเรามองดูด้วยความตั้งใจพอ เราก็จะมองเห็นเทพธิดาแห่งความงามทุกหาทุกแห่ง เพราะความงามนั้นเปล่งประกายในทุกๆสิ่งที่ดำรงอยู่”

“ถ้าหนูยังปรารถนาที่จะสวยงามขึ้น และต้องการเป็นเทพธิดาแห่งความงามบนโลกแล้ว จงมองไปบนท้องฟ้าและพิจารณาเมฆก้อนใหญ่ที่ล่องลอยในเวิ้งฟ้าสีน้ำเงินอย่างสง่างาม มองดูเมฆกลมๆที่สุกสกาวราวปุยฝ้ายเหล่านั้นสิ ความงามของมันเปล่งประกายอย่างยิ่ง เมื่อลอยผ่านเมฆก้อนอื่นๆที่ถูกลมพัดทะลุเป็นช่องให้แสงตะวันส่องลอดลงมา”

คนสวนหยุดพูด แล้วนิ่งมองเด็กหญิงที่กำลังเฝ้าดูก้อนเมฆ

“ปล่อยให้แสงสว่างจากจิตวิญญาณเปล่งประกายผ่านผิวอันบอบบางของหนูและโลกทั้งโลกจะเห็นความงามอันเจิดจรัสที่สุดของหนูเปล่งประกายออกมาจากภายใน”





การเปลี่ยนแปลง


ชายหนุ่มผู้มีความคิดดีมากคนหนึ่ง ซึ่งมักนะมาขอคำแนะนำจากคนสวนเสมอๆ ได้แวะมาที่กระท่อมของเขาในคืนฝนตกและหนาวเย็นคืนหนึ่ง

ราวกับกำลังรอคอยการมาเยือนของเขา เมื่อชายหนุ่มเปิดประตู คนสวนก็กวักมือเรียกเข้ามาในกระท่อม คนสวนได้ช่วยชายหนุ่มถอดเสื้อคลุมที่เปียกปอนออกและเชื้อเชิญให้เขานั่งหน้าเตาผิง

เมื่อชายหนุ่มรู้สึกว่ามือเริ่มรู้สึกอุ่นขึ้นมาบ้าง เขาเริ่มต้นถามว่า “เพื่อนของผม ผมรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ผมทิ้งวัยเด็กไว้ข้างหลังและเริ่มคิดแบบผู้ใหญ่ ผมสังเกตโลกรอบๆตัวผม และผมได้พบสิ่งดีๆและคุณค่าในตัวมนุษย์และธรรมชาติ แต่เมื่อได้พบเห็นสิ่งที่ทำร้ายจิตใจของผม ผมก็เศร้าใจ ผมได้เห็นว่าในโลกนี้มีความอยุติธรรมและขาดความเอื้ออาทร ผมได้เห็นสายตาสิ้นหวังของคนยากไร้และคนป่วย ผมได้เห็นกรงเล็บของความละโมบเกาะกุมหัวใจของมนุษย์และหมอกควันแห่งความเกลียดชังบดบังเหตุผลและความถูกต้องในหมู่พี่น้อง และทุกครั้งที่ผมพบเห็นสิ่งเหล่านี้ หัวใจอันสับสนของผมก็ร้องไห้ออกมา และจิตวิญญาณของผมก็กู่ก้องไปยังสรวงสวรรค์ เพรียกหาทางแก้ไขความทุกข์เข็ญ และผมคิดว่าผมอยากจะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ เพื่อทุกคนจะได้อยู่ร่วมกันอย่างปรองดองและมีความสุข แต่ว่าคนคนเดียวจะต่อสู้กับความทุกข์เศร้าและความพินาศนี้ได้อย่างไรเล่า”

ชายหนุ่มเงียบลงและซบหน้ากับฝ่ามือ

“คุณสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้” คนสวนพูดขึ้นด้วยน้ำสียงนุ่มนวล

“คนคนเดียวจะเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างไรกัน” ชายหนุ่มถาม

“โดยการเปลี่ยนแปลงตัวเราเอง” เป็นคำตอบของคนสวน

“ผมไม่เข้าใจ ถ้าคนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลง แล้วมนุษยชาติจะเปลี่ยนไปได้อย่างไร”

“มนุษย์แต่ละคนคือเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด มนุษย์ฝันจะมุ่งไปสู่ส่วนลึกอันสุกสว่างของจักรวาล” คนสวนกล่าวและจ้องมองไฟ “เมื่อมนุษย์อยู่กับห้วงแสงนั้น มนุษย์จะได้รับประกายแห่งความดีงามของเขา”

“ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดีครับ” ชายหนุ่มตอบซื่อๆ

“คุณไม่จำเป็นต้องเข้าใจหรอก นกไม่เข้าใจกลไกการบินของมันเอง แต่ก็ยังบินได้ มันเป็นธรรมชาติของนกที่จะบิน เช่นเดียวกัน มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะได้รับความรัก”

ไฟปะทุเปรี๊ยะ ปร๊ะ เมื่อคนสวนพูดจบประโยค และคนทั้งสองเงียบไปชั่วขณะ ต่างจับจ้องเปลวไฟที่วูบไหวอยู่ในเตาผิง

ชายหนุ่มจ้องมองคนสวน แล้วหันไปมองเปลวไปอีกครั้ง ในที่สุดก็ตัดสินใจถามขึ้นว่า

“และผมต้องทำอย่างไรเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง”

“ต้องไม่พยายาม” คนสวนตอบพร้อมกับยิ้ม

ชายหนุ่มแสดงสีหน้าประหลาดใจและนิ่งอึ้ง

“ถ้าคุณไม่พยายาม คุณก็จะไม่รู้สึกกดดัน” คนสวนอธิบายต่อ “เราต้องปรารถนาความเปลี่ยนแปลงภายในตัวเราเท่านั้น และเปิดกว้างความเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดขึ้นในตัวเรา แต่ถ้าคุณพยายามจะทำให้มันเกิดขึ้น ความขัดแย้งจะเริ่มเกิดขึ้นในใจของคุณ ซึ่งจะทิ้งรอยแผลและความเจ็บปวดไว้ให้ คุณเพียงแต่เปิดใจกว้างและปล่อยให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสมของชีวิต”

“ไม่มีใครสาธิตการบินแก่นก ไม่มีใครสอนปลาให้ว่ายน้ำ เมื่อถึงเวลานกก็โผสู่ฟากฟ้าและปลาก็สู่น่านน้ำ และจากนั้นก็เป็นไปตามธรรมชาติของมันเอง”

“ความรักดำรงอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์ ความรักซึ่งกว้างใหญ่ดุจมหาสมุทร ความรักซึ่งครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง มนุษย์เพียงแต่ปล่อยตัวเองไปตามกระแสของชีวิตด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง และจากนั้นก็จะเป็นไปตามธรรมชาติของเขาเอง

“ความรักเท่านั้นที่จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในจิตวิญญาณของคุณ และความรักนั้นจะนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่โลก”

และดื่มดำอยู่ในความคิด คนสวนจบการสนทนาด้วยการพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า

“เมื่อมนุษยชาติค้นพบความรักที่แท้ จักรวาลทั้งจักรวาลจะสั่นสะเทือนด้วยความงามของรักนั้น”



จากหนังสือ The Gardener : Grain

ไม่มีความคิดเห็น: