วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Gardener

คู่รัก


ชายหนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งแต่งงานมาได้สองสามปีแล้ว กำลังคร่ำครวญกับคนสวนถึงความยากลำบากในชีวิตสมรสของเขา

ในตอนเริ่มต้น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ปีแรกของการแต่งงาน ทั้งคู่ต่างให้ความรักและความหวานชื่นที่เคยแบ่งปันกันและกันระหว่างการเกี้ยวพา แต่ด้วยเหตุผลใดไม่ปรากฏ ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองในภายหลังได้แปรเปลี่ยนจากที่เคยห่วงอาทรไปเป็นความหมางเมินเหินห่าง

“มีบางครั้ง ผมคิดว่าผมเกลียดเธอ” ชายหนุ่มพูดกับคนสวน “และผมคิดว่าเธอก็เกลียดผมเช่นกัน”

“ความรักจะเปลี่ยนไปเป็นความเกลียดได้อย่างไร” คนสวนถาม

ชายหนุ่มยังคงเงียบ

“คุณเคยคิดไหมว่าความรักที่คุณรู้สึกนั้นไม่ใช่รักแท้และบริสุทธิ์ แต่เป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากความชอบพอและตอบสนองกันและกันเท่านั้น” เขาถามขึ้นอีก

ชายหนุ่มก้มหน้ามองพื้น

“ตอนนี้ผมไม่ทราบจริงๆ ครับ”

ชายทั้งสองเดินไปตามทางเดินที่เรียงรายด้วยต้นมะนาว ย่ำเท้าบนพรมใบไม้สีแดง ซึ่งส่งเสียงกรอบแกรบคลอการสนทนาอันแผ่วเบา คนสวนเพียรถามอีกว่า

“คุณแสวงหาอะไรล่ะ ถึงได้แต่งงานกับเธอ”

“ผมแสวงหาความสุข” ชายหนุ่มพูดอย่างหนักแน่น “และผมคิดว่าผมจะได้พบเมื่อใช้ชีวิตคู่กับเธอ”

“นั่นเป็นความผิดของคุณทีเดียว” คนสวนเอ่ยขึ้นช้าๆ “ในระหว่างที่คุณมั่นหมายกันต่างเห็นดีเห็นงามตามกัน” และมองแต่ด้านดีของกันและกัน ต่างคนต่างคิดว่าอีกฝ่ายมีข้อดีมากมายซึ่งจะทำให้อีกฝ่ายมีความสุขไปจนชั่วชีวิต คุณไม่อยากเผชิญกับความจริงว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าคุณนั้น ไม่ได้มีแต่ข้อดี ยังมีข้อเสียด้วย แต่คุณไม่อยากเห็นด้านมืดนั้น

“และเมื่อได้อยู่ร่วมกัน เวลาผ่านไป ด้านมืดก็ปรากฏ และตอนนี้คุณมาอยู่อีกด้านหนึ่งที่เห็นแต่ข้อบกพร่องของกันและกัน ไม่เห็นข้อดีอีกต่อไป

“ใช่ บางครั้งเราก็เป็นเช่นนั้น” ชายหนุ่มตอบอย่างหมดอาลัยตายอยาก

“ความผิดพลาดของแต่ละคนเกิดขึ้นเพราะต่างก็แสวงหาความสุขจากภายนอก ไม่ใช่ความสุขในหัวใจตัวเอง” คนสวนพูดต่อไป “ถ้าคุณแสวงหาความสุขด้วยความรักที่เต็มเปี่ยมหัวใจแล้ว ความรักของคุณก็จะไม่ขึ้นอยู่กับข้อดีหรือข้อเสีย แต่จะงอกงามด้วยความเข้าใจและยอมรับข้อบกพร่องที่คู่ของคุณมี เช่นเดียวกับมนุษย์ปุถุชนทั้งหลาย”

“และดังนั้น คุณอาจจะเปลี่ยนแปลงกันและกันได้ ไม่ใช่จากการเรียกร้องหรือตำหนิติเตียน แต่จากความรักที่หนักแน่นมั่นคงในหัวใจของคุณ”

ชายหนุ่มเริ่มเห็นว่าบางทียังมีความหวังเหลืออยู่ในสถานการณ์ของเขา

“แล้ว” เขาพูด “ตอนนี้ผมต้องทำอย่างไร”

“จงแสวงหาความสุขในตัวคุณเอง และอย่าหวังว่าเธอจะเป็นผู้ให้ เพราะคุณไม่อาจร้องขอจากผู้ใดในสิ่งที่คุณต้องเสาะหามาเอง จงแสวงหาความรักที่คุณเคยรู้สึกในหัวใจ และหาความสุขจากความรักในหัวใจของคุณเท่านั้น ไม่ใช่จากความรักของเธอที่มีต่อคุณ และซัมซับกับทุกๆอณูของชีวิต ไม่ว่าจะสุขสงบหรือทุกข์เศร้า เพราะในการยอมรับชีวิตทั้งหมด ทั้งในวันที่งดงามและในคืนที่มืดมน เราจะได้พบกับความสุขอันยั่งยืน ซึ่งจะอยู่ในที่ปลอดภัยจากพายุและลมฟ้าอากาศอันแปรปรวน”

“สิ่งที่คุณพูดมาน่ะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับยิ้มเศร้า

คนสวนหยุดและมองเค้าอย่างอ่อนโยน

“ใช่ ไม่ง่าย” เขาตอบเรียบๆ “และคุณต้องกล้าหาญเช่นนักรบเพื่อฟันฝ่าหาชัยชนะในสมรภูมิแห่งชีวิต”





ความสุข


“หนูต้องทำอย่างไรคะ ถึงจะได้พบกับความสุข” เด็กหญิงผู้สะสวยตั้งคำถาม

คนสวนหัวเราะอย่างเอ็นดู

“อย่าแสวงหามัน”

เด็กหญิงงงงวย

“ทำไมลุงถึงพูดอย่างนั้น” เธอถาม รู้สึกรำคาญเสียงหัวเราะของเขาอยู่บ้าง “ใครๆก็แสวงหาความสุข...”

“และน้อยคนที่ได้พบ....” คนสวนพูดขัดจังหวะและยังคงหัวเราะอยู่

เด็กหญิงทำฮึดฮัด แต่ไม่มีผลใดๆ นอกจากเพิ่มความขบขันแก่คนสวน

“ฟังนะ...” คนสวนพูดต่อเพื่อให้เธอใจเย็น “มนุษย์แสวงหาความสุขกันทุกคน บางคนหาจากคนที่เขารัก บางคนจากการสะสมเงินทองและของมีค่า บางคนจากความฝัน... มนุษย์ตามหาความฝันตลอดชีวิต และเมื่อสมปรารถนา เขาก็ได้พบความสุข ซึ่งเขาเชื่อว่าจะคงอยู่ตลอดไป ทว่าอีกไม่นานต่อมา ความซ้ำซากและความผิดหวังก็หวนกลับมา และทุกคนก็ออกค้นหาความฝันใหม่ จนกระทั่งได้พบ ครั้นแล้ว ฝันก็สลายไปอีก และเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ”

“ลุงหมายความว่าการจะพบความสุขอันยั่งยืนนั้นเป็นไปไมได้หรือคะ” เด็กหญิงถามเขาอีก

“เปล่า ลุงไม่ได้หมายความเช่นนั้น!”

“แล้วเราจะพบความสุขที่ยั่งยืนได้อย่างไรล่ะ” เด็กหญิงยืนกราน ร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด

คนสวนทำมือทำไม้ให้เธอสงบลง

“ไม่พบหรอก” เขาตอบ “หนูจะไม่ได้พบกับสิ่งที่อยู่ในตัวหนูตลอดมาหรอกจ้ะ”

“ลุงคนสวน ลุงกำลังทำให้หนูสับสนนะ ถ้าหนูมีอยู่แล้ว ทำไมหนูถึงไม่รู้สึกล่ะ”

“หนูคงเคยสังเกตดอกไม้ที่หนูเสียบผมไว้บ้างแหละนะ” คนสวนถาม

“ค่ะ ตอนที่หนูคิดเรื่องดอกไม้น่ะค่ะ” เด็กหญิงตอบ พลางยกมือขึ้นจับดอกไม้

“หนูไม่เคยตระหนักเลยหรือว่าหนูมีความสุขแค่ไหนเมื่อนึกถึงอดีตน่ะ”

“เคย...ค่ะ...” เธอพูดตะกุกตะกัก “แต่...”

“เอาละ ลองนึกถึงความสุขที่หนูรู้สึกตอนนี้สิ” คนสวนขัดจังหวะ “ทุกคนเป็นเหมือนคนที่ใช้เวลาหาแว่นตาทั้งวัน แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตนสวมอยู่ตลอดเวลา”

“เรามีความสุขอยู่เสมอ แต่เราตระหนักได้ก็ต่อเมื่อเวลาล่วงเลยไป และความห่างไกลทำให้เราเห็นสิ่งที่ได้ประสบทั้งหมด”

“ความสุขอยู่ในตัวหนูเสมอนะ มันไม่เคยหายไปไหนหรอก แม้แต่ตอนที่ชีวิตเจ็บปวดและระทมทุกข์ หนูเพียงแต่มองไม่เห็นมันเอง เพราะหนูมัวแต่หาความสุข เพื่อหนีไปจากความทุกข์ หนูถึงไม่ได้เห็นมัน”

“จงใส่ใจกับชีวิต กับสิ่งที่อยู่รอบๆตัวหนู กับสิ่งที่หนูกำลังรู้สึก... แล้วหนูจะได้พบว่าหนูมีความสุขอยู่แล้ว ในชั่วขณะนั้น ความสุขเป็นส่วนหนึ่งของหนู เพราะความสุขเป็นเหมือนทุ่งหญ้าเขียวขจี ที่ชีวิตเริงระบำแห่งชีวิตและความตาย แห่งความรักและความโดดเดี่ยว”

และเขาลูบแก้มเด็กหญิง พลางพูดอย่างอ่อนโยน

“อย่าค้นหาความสุข ถ้าหนูต้องการค้นหาอะไรสักอย่างแล้วละก็ จงค้นหาชีวิตนั่นแหละ”





นางฟ้าแสนเศร้า


คืนหนึ่งในกลางฤดูร้อน อากาศอบอ้าว แม้แต่สายลมก็ไม่สมารถคลายร้อนจากแผ่นดินด้วยหยาดน้ำค้าง คนสวนออกจากระท่อมไปอาบน้ำ ตอนนี้เป็นเวลาใกล้รุ่งแล้ว และหลัจากพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียงเพื่อนอนต่อ แต่ไม่สำเร็จ คนสวนจึงตัดสินใจลุกขึ้นไปอาบน้ำในสระ

ระหว่างทาง เข้าผ่านพริมโรสพุ่มใหญ่และเห็นนางฟ้าบนดอกไม้โดยไม่คาดฝัน

คนสวนหยุดมองนางฟ้า แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่เห็นการมาของเขา เธอนั่งเท้าคาง วางศอกอยู่บนเข่า ท่าทางซึมเศร้าเหมือนเด็กเล็กๆ

“สวัสดี เจ้าตัวเล็ก” คนสนทักขึ้น นางฟ้าสะดุ้งตกจากดอกไม้ หายไปในพุ่มไม้หนา

“ฉันเสียใจนะ ที่ทำให้เธอพลักตกน่ะ” คนสวนเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นนางฟ้าปรากฏตัวท่ามกลางใบไม้อีกครั้ง

“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ คนสวน” นางฟ้าบอก “มันเป็นความผิดของฉันเองที่ไม่เห็นการมาของท่าน”

และเธอนั่งลงบนดอกไม้ดอกเดิมอีกครั้ง ในท่าเดิมที่คนสวนได้เห็น

“เป็นอะไรไปหรือ” เขาถาม “เธอดูซึมเศร้าเหงาหงอยนะ”

นางฟ้ามองคนสวนราวกับเขาออกมาจากความฝัน และสักพักก็ตอบว่า

“ก็...เอ่อ...มัน...ฉันไม่อยากเป็นนางฟ้า”

“ทำไมล่ะ” คนสวนถามอย่างแปลกใจ

“ก็เพราะฉันอยากจะฉลาดเหมือนผีแคระ หรือเก่งเหมือนท่านที่เป็นมนุษย์น่ะสิ”

คนสวนใคร่ครวญคำตอบของนางฟ้าครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น

“ความเก่งก็ดีสำหรับบางสิ่งบางอย่าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด”

“ทำไมจะไม่ใช่ ความเก่งน่ะสำคัญมากสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต...”“ไม่ ไม่ ไม่!” คนสวนขัดขึ้น “สิ่งสำคัญที่สุดน่ะ ไม่ใช่ความเก่ง แต่เป็นความฉลาด”

“ฉันไม่เข้าใจ” นางฟ้าพูดพลางส่ายหน้าไปมา

คนสวนนั่งลงบนพื้นตรงหน้านางฟ้า

“ต้นโอ๊กไม่เก่ง แต่ก็ฉลาดนะ เพราะมันสามารถสร้างเมล็ดพันธุ์ที่เต็มไปด้วยชีวิต แม้แต่มนุษย์ที่เก่งที่สุดก็ทำไม่ได้”

“นกอินทรีไม่ได้เก่ง แต่ก็มีปัญญา ขณะเลี้ยงดูลูก มันรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร ลูกนกถึงเติบโตขึ้นมาแข็งแรงและเป็นนกทีสง่างาม ทว่า มีคนมากมายที่เก่งแต่ไม่ฉลาด เขาพัวพันกับความแค้นและสงคราม และใช้ความเก่งของตนหาทางทำลายและทำร้ายคนอื่น"

“อย่าเอาความเก่งไปปะปนกับความฉลาด และอย่าขอให้สิ่งอื่นใดปฏิบัติภารกิจที่ชีวิตมอบหมายแก่เธอโดยไม่จำเป็น ชีวิตมอบสิ่งที่จำเป็นสำหรับเราแล้ว เพื่อจะได้ทำสิ่งที่ต้องทำ และชีวิตให้ภูมิปัญญาตามธรรมชาติของตัวเองแก่เราแล้ว เพื่อว่าเราจะได้ทำในสิ่งที่จำเป็น ในเวลาที่เหมาะสม โดยมิต้องออกแรงพยายาม”

“ฉันคิดว่าฉันเข้าใจที่ท่านพูด”

คนสวนเบาเสียงลง และด้วยความอ่อนโยนอย่างที่สุด เขาพูดกับนางฟ้าว่า

“อย่าปรารถนาเป็นอะไรอื่นนอกจากที่เธอเป็นอยู่ เป็นนางฟ้าที่งดงามและละเอียดอ่อน เพราะด้วยความงามของเธอ เธอยังให้แมกไม้เต็มไปด้วยมนต์สเน่ห์และความร่มเย็น และด้วยภูมิปัญญาของเธอ เธอหว่านโปรยสีสันของดอกไม้และกลิ่นหอมของพืชพรรณไปทั่วดินแดน

“มนุษย์จะเป็นอย่างไรหากปราศจากความงดงามจากงานของเธอ เราต้องการความเก่งไปเพื่ออะไรเล่า ถ้าเราไม่สามารถยังกลิ่นหอมแก่ดอกไม้ หรือความมหัศจรรย์แก่พงไพร”

และนางฟ้ากระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริง โผบินไปหาคนสวน แล้วจุมพิตที่ปลายจมูกของเขา ก่อนลับหายไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางกิ่งก้านของต้นซีดาร์ในบริเวณนั้น

วันถัดมา อีกครั้งหนึ่ง ชาวบ้านใกล้เคียงพากันแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนจมูกของคนสวน ซึ่งส่องประกายสีทองแวววาว





มงคล

เมฆดำทะมึนกำลังเคลื่อนออกไปจากแผ่นดิน และดวงอาทิตย์กลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง ผ่านรอยแยกของเมฆมืดดำ

ครั้นแล้ว แสงตะวันก็ทาบทาทางเดินลาดชันที่คนสวนกำลังย่ำเท้าไป พลางสูดไอดินอันหอมกรุ่น และเห็นหอยทากเล็กๆตัวหนึ่งคืบคลานไปตามกอไม้ใบหญ้า

คนสวนหยุดเดิน และเฝ้าดูหอยทากอยู่เนิ่นนาน แล้วรำพึงขึ้นว่า

“ความช้าเป็นมงคล เพราะเขาจะไม่พลาดรายละเอียดชีวิต แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุด”

จากหนังสือ The Gardener : Grain

ไม่มีความคิดเห็น: