วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Gardener



นกไนติงเกล


เมื่อฤดูร้อนมาถึง นกไนติงเกลตัวหนึ่งก็มาหลบอยู่ในสวน มันร้องเพลงเจื้อยแจ้วทุกค่ำคืนจากต้นสนดำเก่าแก่ข้างสระน้ำ ประสานเสียงกับจิ้งหรีด อย่างไพเราะเพราะพริ้ง

ตั้งแต่คนสวนได้ยินของมันครั้งแรก เขาก็ออกมาฟังเสียงอันสดใสของมันมาจากโขดหินริมสระน้ำทุกค่ำคืน และที่นั่น เขาเห็นเด็กหญิงผมบลอนด์ไว้เปียคนหนึ่งมากกว่าหนึ่งครั้ง ซึ่งแอบหนีออกมาตอนพ่อแม่เผลอ

ขณะพูดคุยหย่อนใจยามค่ำที่บ้าน แล้วเดินแฝงเงามือของถนนมายังสวน

ในคืนหนึ่ง ขณะเด็กหญิงกำลังฟังเสียงเพลงของนกอย่างเพลิดเพลิน คนสวนก็ปรากฏตัวและนั่งลงข้างเธออย่างเงียบๆ

“หนูไม่เคยได้ยินอะไรไพเราะอย่างนี้มาก่อนเลย!”เด็กหญิงพูด ยังคงเหม่อมองไปทางที่เสียงนกลอยมา
คนสวยยิ้มให้กับความไร้เดียงสาของเด็กหญิง

“คงเพราะเหตุนี้ก็ได้นะ นกไนติงเกลถึงร้องตอนกลางคืน” เขาพูดด้วยเสียงกระซิบ เพื่อที่เราจะได้ชื่นชมเสียงอันสดใสของมัน โดยไม่มีเสียงของนกอื่นๆ มาดึงดูดเราไป”

เด็กหญิงหันมาทางคนสวน เธอถามเขาพร้อมกับทำตาโต

“คนสวนคะ ลุงเคยเห็นนกไนติงเกลไหม”

“เคยสิ!” เขาตอบ “บ่ายวานนี้เอง ฉันเห็นมันบินไปมาตามกิ่งก้านด้านล่างของต้นสนดำเก่าแก่นั่นนะ”

“มันคงสวยมากแน่ๆ ถ้าร้องได้เพราะมากอย่างนั้น....”

“โอ๊ะ อย่าไปคิดเช่นนั้น!” คนสวนตอบพร้อมกับยิ้ม “มันไม่ต่างจากนกตัวอื่นที่หนูรู้จักมากนักหรอก ก็เหมือนนกกระจอกแหละนะ แต่ตัวใหญ่กว่านิดหน่อย”

“แต่มันจะร้องเพราะได้อย่างไรคะ ถ้าไม่มีสีสันสดใสและหงอนบนหัวน่ะค่ะ” เธอถามอย่างอยากรู้ความจริง

“เพราะว่าชีวิตต้องให้สาระที่ดีที่สุดซ่อนไว้ในรูปแบบที่ธรรมดาที่สุด”

เด็กหญิงมองเขาด้วยสายตาสงสัย ขณะรอคำตอบที่เด็กเยาว์วัยอย่างเธอจะสามารถเข้าใจได้

“โอ๊ะ ขอโทษนะ!” คนสวนพูดอย่างนึกขึ้นได้ “ดูดอกกุหลาบ ดอกลาเวนเดอร์ ดอกมะลิสิ... หนูจะพบความงามและกลิ่นหอมมากกว่านี้จากที่ไหนได้อีก ถ้าชีวิตต้องการให้ดอกไม้เหล่านี้โดดเด่นมากกว่านี้ ก็คงจะให้มันผลิบานบนต้นไม้ที่มีต้นสูงใหญ่ ที่จะมองเห็นได้แต่ไกล ทว่ามันผลิบานบนไม้พุ่มต่ำต้อยที่มีต้นเล็กๆ และอยู่สูงเพียงระดับสายตาและมือของเราเท่านั้น

“ดูผึ้งสิ ตัวเล็กและต่ำต้อยเมื่อเทียบกับนกอินทรีที่สง่างาม แต่กระนั้นก็ไม่มีอะไรมาทัดเทียมกับความหอมหวานของน้ำผึ้งได้ ชีวิตได้ซ่อนความงามแห่งวิญญาณของมันไว้ในสิ่งเล็กๆ สิ่งต่ำต้อยและสิ่งธรรมดา”

เด็กหญิงผงกศีรษะให้คนสวนรู้ว่าเธอเริ่มเข้าใจ

“หนูตัวเล็ก” เธอพูด “ลุงหมายความว่าหนูก็เหมือนกับนกไนติงเกลใช่ไหมคะ”

“ใช่” คนวสนตอบ “เหมือนกับนกไนติงเกล เหมือนกับดอกกุหลาบ เหมือนกับดอกมะลิและผึ้ง...”

“แล้วเมื่อหนูแก่ตัวจะเป็นอย่างไรคะ”

“เมื่อหนูแก่ตัวขึ้น หนูก็ยังมีความงามแห่งจิตวิญญาณของชีวิตอยู่มนตัวหนู เพราะมันยังได้ซ่อนแก่นของจักรวาลไว้ในร่างอันต่ำต้อยและธรรมดาของมนุษย์อีกด้วย

“ความดีงามซ่อนอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน และไม่ทุกคนที่ขับขานบทเพลงของความรื่นรมย์ของตกออกมา มีเพียงบางคนเท่านั้น ที่เสาะหาค่ำคืนและความสงบของจิตใจเพื่อเปิดใจรับดนตรีแห่งสรวงสวรรค์ เช่นเดียวกับนกไนติงเกลในหมูนกทั้งหลาย”

“จริงๆแล้ว หนูไม่เข้าใจสิ่งที่ลุงพูดเลย” เด็กหญิงสารภาพ แล้วหลุบตาลง “แต่หนูว่าสิ่งที่หนูทำ คือทำตัวเล็กๆต่อไปใช่ไหมคะ”

คนสวนรู้สึกประทับใจกับความไร้เดียงสาของเด็กน้อยผู้เฉลียวฉลาด

“ใช่จ้ะ หนูต้องทำตัวเล็กๆ อยู่เสมอ...” เขาพูดด้วยเสียงกระซิบ “....และทำตัวธรรมดาๆ เหมือนกับนกไนติงเกล”





การล่า

ปลายฤดูร้อน แผ่นดินอบอ้าวไปทั่วแถบถิ่นนั้น ขณะที่ไอน้ำก่อตัวเป็นเมฆดำทะมึน ตั้งเค้าพายุฝนมาจากทางทิศตะวันออก


ในกระท่อม คนสวนกำลังวุ่นวายอยู่กับการไล่จับแมลง ที่มักจะรบกวนและเหนียวเหนอะหนะก่อนมีพายุฝน


ในขณะที่เก้ๆกังๆ นั้นเอง เพื่อนคนหนึ่งได้แวะมาและรู้สึกแปลกใจกับการไล่อย่างเอาเป็นเอาตายของเขา คิดว่าคนสวนกำลังทำเกินเลยขีดจำกัดที่ยอมรับได้สำหรับ “คนเพี้ยน” จึงถามเขาว่ากำลังทำอะไรอยู่


“จะให้มันไปอยู่นอกกระท่อมน่ะ” เขาตอบโดยไม่ลดละการไล่ล่าเหยื่อที่บินหนีรวดเร็ว


ผู้เป็นเพื่อนแสดงท่าทางไม่เข้าใจ


“แต่ทำไมไม่ฆ่ามันเสียล่ะ” เขาถามคนสวน “คุณจะแก้ปัญหาได้เร็วกว่านะ!”


คนสวนหยุดครู่หนึ่ง แย้มยิ้ม แล้วตอบว่า


“ก็เพราะ... มันยังไม่ถึงที่ตายน่ะสิ”


ผู้เป็นเพื่อนยิ่งคิดหนักว่าคนสวนเป็นบ้าไปแล้ว


“แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่ามันถึงที่ตายแล้วหรือยัง” เขาถามอย่างหมดอดทน


และคนสวนตอบเขาอย่างสงบ ราวกับว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่สุดในโลก


“ง่ายมาก ถ้าผมหลีกเลี่ยงการทำให้มันตายได้ มันก็ยังไม่ถึงที่ตาย”


และเขาไล่แมลงต่อไป


ความรักของแม่

คนสวนกำลังเดินจ้ำอ้าวไปยังกระท่อม เขาอุ่นอาหารทิ้งไว้บนเตาในบ้านนานกว่าชั่วโมงแล้ว และกลัวว่า

ความหลงลืมของเขาอาจจะนำมาซึ่งความเดือดร้อน

ขณะเดินผ่านก้อนหินเล็กๆ ที่กองอยู่ข้างกระท่อม เขาก็สะดุดล้มคว่ำเหยียดยาวไปกับพื้น

เขายันร่างกายที่ขัดยอกขึ้นด้วยข้อศอก ใบหน้าเปื้อนฝุ่น แล้วพูดขึ้นว่า

“แม่พระธรณีจ๋า แม่ช่างรักลูกเหลือเกิน พอเห็นเท้าลูกลอยอยู่ในอากาศ แม่ก็วิ่งเขามากอดลูกไว้”

The Gardener : Grain

1 ความคิดเห็น:

napa t กล่าวว่า...

ไปสวนโมกข์คราวนี้มีเวลาเหลือได้ไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ในห้องสมุดที่อยู่เหนือโรงอาหารที่เราทานข้าวกัน

ข้างบนนั้นมีหนังสือดีๆมากมาย รวมถึงเล่มสวนแห่งชีวิตนี้ด้วย ดีใจที่ได้อ่านอีกครั้งในบลอคนี้

ปล. เราชอบตอน ต้นไม้เล็กๆ